คุณหมอแนะนำ

ฝ้า
 
ฝ้า คือ อะไร
 
ฝ้าเป็นปัญหาที่พบได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง พบบ่อยในผู้หญิงเนื่องจากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศ มีลักษณะเป็น ปื้นสีน้ำตาลจางๆหรือเข้ม กระจายอยู่บนใบหน้า เช่น หน้าผาก โหนกแก้ม ไรหนวด สันจมูก เกิดจากการที่มีการสร้างเม็ดสีเมลานินเพิ่มจำนวนมากขึ้น
 
ฝ้ามีกี่ลักษณะ
 
ฝ้า แบ่งตามความลึก ได้เป็น ฝ้าตื้น และ ฝ้าลึก โดยฝ้าตื้นจะพบเม็ดสีเพิ่มจำนวนอยู่ในชั้นหนังกำพร้า ส่วนฝ้าลึกจะพบเม็ดสีเพิ่มจำนวนในชั้นหนังแท้ โดยทั่วไปการรักษาฝ้าลึกจะทำได้ยากกว่า และในบางคนก็สามารถพบได้ทั้งฝ้าลึกและฝ้าตื้นร่วมกัน
 
สาเหตุของฝ้า
 
ปัจจัยภายใน
  • พันธุกรรมและเชื้อชาติ
  • ฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน พบได้บ่อยในช่วงตั้งครรภ์หรือผู้หญิงที่กินยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน
 
ปัจจัยภายนอก
  • แสงแดดมีทั้ง UV A และ B ซึ่งกระตุ้นทำให้เกิดฝ้า รวมถึงริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัยได้
  • การได้รับยาบางประเภท เช่น ยากันชัก
  • การใช้เครื่องสำอางที่มีสารต้องห้าม รวมถึงการแพ้เครื่องสำอางบางประเภท ทำให้เกิดรอยดำที่คล้ายกับฝ้าได้เช่นกัน
 
 ฝ้ารักษาได้ไหม 
 
ฝ้าเป็นปัญหาเรื้อรัง ส่วนใหญ่เมื่อเป็นแล้ว จะไม่หายขาด สามารถกลับมาเป็นใหม่ได้
  • รักษาตามสาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้า
  • หลีกเลี่ยงแสงแดดแรงจัด ช่วงเวลา 10 โมงเช้า – 4 โมงเย็น
  • ทาครีมกันแดดที่ป้องกันได้ทั้ง UV A และ B เป็นประจำทุกวัน ถ้าต้องอยู่กลางแดดจัด หรือไปทะเล เล่นน้ำ ควรทากันแดดซ้ำทุก 2 ชั่วโมง
  • ผู้ที่เป็นฝ้าจากยาคุมกำเนิด อาจเปลี่ยนไปใช้ยาคุมกำเนิดสูตรฮอร์โมนต่ำ หรือเปลี่ยนไปใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่นแทน
  • การรักษาด้วยผลิตภัณฑ์เวชสำอางต่างๆ เพื่อรักษาฝ้า ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความน่าเชื่อถือ ได้รับการรับรองจาก อย. ว่าไม่มีสารต้องห้ามที่ทำให้เกิดอันตรายกับผิว
  • การรักษาด้วยยา ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยาทุกชนิด ไม่ควรซื้อยาใช้เอง ยาทาที่ใช้บ่อย เช่น ไฮโดรควิโนน กรดวิตามินเอ หรือ สเตียรอยด์ จะช่วยลดการสร้างเม็ดสี ทำให้ฝ้าดูจางลงได้ แต่มีผลข้างคียงทำให้ผิวบาง และดำคล้ำกว่าเดิม ยากินบางชนิด เช่น Tranexamic acid ก็สามารถลดการสร้างเม็ดสีได้เช่นกัน แต่มีผลข้างเคียงเช่นกัน
  • การทำ Treatment หรือ เลเซอร์ เช่น การผลัดเซลล์ผิว การผลักตัวยาเข้าสู่ผิว หรือการทำเลเซอร์ ขึ้นอยู่กับสภาพผิวหน้าของแต่ละคน ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อเลือกวิธีการดูแลที่เหมาะกับสภาพผิวหน้าของแต่ละคน 
 
-------------------------------------------------------------------------------------
ใบหน้ามีดวงขาว วงขาว แผ่นขาว
 
มีคนไข้หลายคนที่มีสีผิวไม่สม่ำเสมอ เป็นดวง เป็นวงสีขาว ซึ่งลักษณะแบบนี้ สามารถสันนิษฐานได้หลายโรคนะครับ เช่น โรคด่างขาว โรคเรื้อน เกลื้อนน้ำนม เกลื้อนเชื้อรา บางคนได้รับการฉีดยาบางประเภท ก็ทำให้เป็นดวงขาวได้ เช่น ยาสเตียรอยด์ หรือการทายาก็มีผลทำให้เกิดเป็นดวงขาวได้เช่นกัน หรือโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่ผิวหนังบางชนิด ดังนั้นหมอจึงต้องทำการวินิจฉัยแยกรอยโรคก่อน จึงจะทำการรักษาได้ตรงกับสาเหตุ 
 
โรคด่างขาวคืออะไร
เกิดจากร่างกายสร้างสารบางอย่างไปทำลายเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานิน ซึ่งเป็นสารที่บ่งบอกสีผิว สีดวงตา สีผม เมื่อเซลล์นี้ถูกทำลาย จึงทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอ มีดวงขาว เป็นวงๆ แผ่นๆ ยังมีสาเหตุการเกิดโรคด่างขาวได้อีก เช่น เกิดจากกรรมพันธุ์, โรคแพ้ภูมิบางชนิด เช่น โรค SLE โรคหนังแข็ง โรคเบาหวาน โรคโลหิตจาง
 
ดูยังไงว่าเป็นโรคด่างขาว
เบื้องต้นดูบริเวณที่เป็นดวงขาว จะเห็นขอบเขตชัดเจน แต่ถ้าไม่แน่ใจว่าเป็นโรคด่างขาวหรือไม่ สามารถพบแพทย์เฉพาะทางผิวหนังเพื่อวินิจฉัยได้
 
โรคด่างขาวเป็นโรคติดต่อไหม
โรคด่างขาวไม่ใช่โรคติดต่อจากการสัมผัส หรือจากทางสารคัดหลั่ง แต่สามารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม
 
โรคด่างขาวรักษาอย่างไร
วิธีการรักษาอย่างแรกคือการทายา อย่างต่อมาคือการฉายแสง หรือการรักษาร่วมทั้งทายาและฉายแสง
 
โรคด่างขาวรักษาให้หายขาดได้ไหม
โรคด่างขาวรักษาไม่หายขาด สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก โดยปกติแล้ว 50เปอร์เซ็นต์ สามารถจะสงบได้ในระยะเวลายาว แต่ถ้ากลับมาเป็นอีก ก็แนะนำมาพบแพทย์เฉพาะทางผิวหนังเพื่อรักษาใหม่
 
ถ้ารักษาด่างขาวแล้วจะดูแลตัวเองอย่างไร
แนะนำทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน ใช้ชีวิตได้ตามปกติ ถ้ามีอาการคันไม่ควรเกาบริเวณที่ได้รับการรักษา และหลีกเลี่ยงการถูกขีดข่วน คนไข้ต้องทำความสะอาดร่างกายเป็นประจำ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย ไม่เครียด ถ้าไม่ทาครีมกันแดด ก็จะเพิ่มความเสี่ยงการเป็นมะเร็งผิวหนัง ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดๆ
 
โรคด่างขาวเป็นแล้วไม่รักษา อันตรายไหม
โรคด่างขาวเป็นแล้วไม่ได้อันตรายอะไร ก็เพียงแต่จะส่งผลเรื่องความมั่นใจในตัวเอง แม้ไม่อันตรายแต่ก็ต้องทาครีมกันแดดบริเวณที่เป็นโรคด่างขาว หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดๆ เพราะมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังได้
 
คนไข้กลุ่มใดที่ควรระวังในการรักษา
- ผู้ป่วยตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร

- ผู้ป่วย SLE, HIV

- ภาวะด่างขาวจากโรค Hyperthyroidism

- ผู้ป่วยที่ใส่เครื่อง Pacemaker

- ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาที่มีความไวแสง

- มีประวัติเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง
 
-------------------------------------------------------------------------------------

ระวังครีมที่มีส่วนผสมสเตียรอยด์

ปัจจุบันครีมในท้องตลาดมีการแอบผสมสเตียรอยด์ด้วย (ตามที่เห็นข่าวจากอย.อย่างต่อเนื่อง) ซึ่งไม่มีผู้ขายรายไหนบอกผู้ซื้อก่อน เพราะถ้าบอกก่อนก็จะไม่มีใครซื้อ

การทาครีมที่มีสเตียรอยด์ในบริเวณกว้าง ร่างกายอาจดูดซึมยามากไปและทำให้มีผลต่อระบบในร่างกาย เช่น ตัวบวม ระบบสเตียรอยด์ในร่างกายผิดปกติ ทำให้ภูมิต้านทานตามธรรมชาติลดลงได้

การทาครีมสเตียรอยด์เป็นเวลานาน สามารถเกิดผลข้างเคียงกับผิวหนัง ได้แก่ ผิวเปราะบาง, ขาวซีดผิดปกติ, เส้นเลือดในชั้นผิวหนังแท้ด้านบนมีการขยายตัว ทำให้มีโอกาสระคายเคือง และยังมีโอกาสติดเชื้อง่ายขึ้น และมีความเสี่ยงต่อการเกิด มะเร็งผิวหนัง บริเวณที่ทายามาเป็นเวลานานด้วย

การใช้ครีมที่มีสเตียรอยด์จึงมีผลข้างเคียงและอันตราย บางรายอาจต้องใช้เวลาในการรักษาผลข้างเคียงนั้นหลายปี

ดังนั้น การใช้ครีมทาหน้า ควรมั่นใจก่อนนว่า ครีมนั้นผ่านการรับรองจาก อย. ก่อน หรือซื้อกับผู้ที่มีความรู้ด้านผิวหนังโดยตรง เมื่อพบว่ามีความผิดปกติกับผิวหนังควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง

-------------------------------------------------------------------------------------

กระแดด

กระแดดสามารถพบได้บ่อยถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ในคนที่มีอายุมากกว่า 50 ปี การรักษากระแดดต้องทำโดยแพทย์ผิวหนัง และต้องดูแลตนเองให้ถูกวิธี

กระแดดเกิดจากแสงแดด โดยรอยโรคที่พบได้บ่อยถึง 90 เปอร์เซ็นต์ในคนที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ซึ่งจะพบมากในบริเวณที่เจอแสงแดด เช่น ใบหน้า มือ หลังแขน เป็นต้น ซึ่งส่งผลทำให้ผู้ป่วยเกิดความกังวลและส่งผลความไม่มั่นใจ

แสงคลื่นช่วงแสงอัลตราไวโอเลตและช่วงแสงความร้อน ส่งผลทำให้เซลล์เม็ดสีเมลานินที่อยู่ในชั้นผิวหนังชั้นบนเกิดการขยายตัวมีขนาดใหญ่มากขึ้นและมีสีเข้มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้รอยโรคมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลเข้ม ขอบชัดลักษณะเป็นวงรี บางครั้งมีรูปร่างและสีเข้มเหมือนตับ โดยอาจจะมีขนาดใหญ่ได้ถึง 6 เซนติเมตร โดยจะพบได้บ่อยที่บริเวณใบหน้า ไหล่ แขน และหลังมือ ในรายที่มีประวัติเจอแสงแดดมาเป็นเวลานานๆ

การรักษากระแดด

1. การรักษาด้วยยาทาเฉพาะที่กลุ่มยาทาลดรอยดำ เช่น hydroquinone, tretinoin, adaptable สามารถลดรอยดำได้ รวมถึงการใช้กรดลอกผิว ในความเข้มข้นที่ต่างๆ กัน แต่ต้องทำโดยแพทย์ผิวหนัง ไม่แนะนำให้ซื้อมาทำเอง
2. การรักษาด้วยการใช้ไนโตรเจนเหลว, เลเซอร์เม็ดสีโดยการใช้ไอเย็น และเลเซอร์รักษานั้น อาจจะต้องทำหลายครั้งแต่ละครั้งจะมีแผลที่ตกสะเก็ด ถ้าเลี่ยงแดดและดูแลแผลไม่ถูกต้องอาจทำให้เกิดรอยดำมากขึ้น หรือทำให้เกิดรอยขาวได้

การรักษาส่วนใหญ่จะสามารถทำให้รอยโรคจางลงหรือหายไปได้ชั่วคราวและมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ค่อนข้างบ่อย แต่ส่วนใหญ่จะมีสีที่จางลงมากกว่าก่อนการรักษาถ้าได้รับการรักษาและการดูแลแผลหลังการรักษาที่ถูกต้อง ดังนั้นก่อนทำการรักษาควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผิวหนังเพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม

-------------------------------------------------------------------------------------

ปานแดง 

ปานแดงสามารถเกิดขึ้นบนผิวหนังบริเวณใดของร่างกายก็ได้ ปัจจุบันมีการรักษาปานแดงให้ดีขึ้นได้ 

ปานแดงจากหลอดเลือด 

มีมาแต่กำเนิด เป็นแผ่นสีแดงราบ สามารถขยายขนาดหรือหนามากขึ้นอย่างช้าๆ ตามอายุที่มากขึ้น ไม่สามารถหายได้เอง 

การรักษา

การยิงเลเซอร์ โดยทำหลายครั้งจึงเห็นผล      

ถ้ารักษาตั้งแต่ปานยังไม่ขยายตัวจะรักษาได้เร็วกว่ารอจนขยายใหญ่ 

ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าปานแดงนั้นหนามากขึ้น มีผลให้โครงสร้างของอวัยวะที่มีปานอยู่มีรูปร่างผิดปกติได้ เนื่องจากมีเลือดมาเลี้ยงมาก 

ปานแดงรักษาได้ ควรรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่จะขยายใหญ่ พบแพทย์ผิวหนังเพื่อการรักษาที่ถูกต้อง 

-------------------------------------------------------------------------------------

สูงวัยแล้วมีสิวด้วยหรือ

สิวเกิดได้ทุกเพศทุกวัย ดังนั้นไม่ว่าจะอายุเท่าไร ย่อมเกิดขึ้นได้ สิวในผู้สูงอายุ มีลักษณะเป็นตุ่มสีขาวเหลืองเล็กๆ หรือสีดำ มักเกิดบริเวณที่ถูกแสงแดด พบบ่อยบริเวณใต้ตาและโหนกแก้ม พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง และคนผิวขาวมากกว่าคนผิวดำ 

มีสาเหตุจากอะไร 

การถูกแสงแดดเป็นระยะเวลานานและการสูบบุหรี่ จะทำให้เนื้อเยื่อที่ผิวหนังรอบๆ ถูกทำลายหรือเสื่อมสภาพและส่งผลให้รูขุมขนขยายออกกว้าง รวมถึงต่อมไขมันเกิดการฝ่อตัว ร่วมกับมีการอุดตันของแบคทีเรีย เช่น Propionibacterium acnes, Corynebacterium Acnes, Staphylococcus albus และยีสต์กลุ่ม Malassezia เป็นต้น และเส้นขนเล็กๆ ในต่อมไขมันและในรูขุมขน จึงทำให้ลักษณะคล้ายสิวอุดตันได้ 

มีการรักษาด้วยวิธีไหนบ้าง 

1.การใช้ยาทา จะใช้การทากรดวิตามินเอ เพื่อให้หัวสิวละลายช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดด และการใช้ครีมบำรุงให้ความชุ่มชื้นร่วมด้วย เพื่อป้องกันผิวแห้งจากกรดวิตามินเอ 

2. การรับประทานยา ในกลุ่มวิตามินเอ ร่วมกับการทากรดวิตามินเอ 

3. วิธีการทางศัลยกรรม ได้แก่ การกดสิว, การขูดออก, การตัดออกด้วยวิธีการผ่าตัด, การทำเลเซอร์ ไม่ควรบีบแกะสิว หรือเจาะสิวเอง 

4. การล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด และใช้สบู่อ่อนๆ หรือคลีนเซอร์ วันละ 2 ครั้ง 

 -------------------------------------------------------------------------------------

สะเก็ดเงินกับการเลือกรับประทานอาหาร 

โรคสะเก็ดเงิน เป็น โรคผิวหนังที่มีการแบ่งตัวของเซลล์ผิดปกติ ทำให้เกิดอาการผิวหนังอักเสบเรื้อรัง โดยมักพบเป็นผื่นแดง มีขุยสีขาวหนาตามส่วนต่างๆของร่างกาย เช่น ข้อเข่า ข้อศอก หลัง ก้นกบ และผื่นขุยบนหนังศีรษะคล้ายรังแค เล็บผิดปกติ รวมถึง ข้ออักเสบร่วมด้วยได้   

สาเหตุของโรคสะเก็ดเงิน มีได้หลายสาเหตุ เช่น  

- ความผิดปกติทางพันธุกรรม
- ความผิดปกติระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย
- ความเครียด
- การได้รับยาบางชนิด
- การดื่มเหล้า สูบบุหรี่

อาหารที่แนะนำสำหรับผู้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงิน 

- ผักใบเขียว (dark leafy green, kale, spinach, chard, collard greens, tossing arugula) มีวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการอักเสบ ซึ่งผักใบเขียวยังอุดมไปด้วยไฟเบอร์ และ แคลอรี่น้อย จึงช่วยระบบขับถ่าย และไม่ทำให้อ้วนขึ้นด้วย

- ปลา มีกรดไขมันสำคัญคือ โอเมก้า 3 ช่วยลดการอักเสบ และ เพิ่มภูมิต้านทานร่างกาย รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาแมคคอเรล ปลาทู ปลาสวาย

- ถั่วต่างๆและธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี ประกอบไปด้วย วิตามินอี วิตามินบีรวม แร่ธาตุต่างๆและใยอาหาร มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ลดการเสื่อมของเซลล์

- ผลไม้ต่างๆ แนะนำให้ทานหลากหลายชนิด เปลี่ยนวนกันไป เช่น ส้ม ฝรั่ง เมลอน มี วิตามินซีสูง ผลไม้กลุ่มเบอรี่ มีสารโพลีฟีนอลสูง สับปะรดมีสารโบรมีเลี่ยนซึ่งทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระได้

- ลดการทานเนื้อแดง การทานเนื้อแดงมากๆ เพิ่มการอักเสบในร่างกายได้

- ลดการทานของหวานหรือน้ำตาล ซึ่งนำไปสู่ภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วนได้ และส่งผลให้อาการของโรคสะเก็ดเงินรุนแรงขึ้น

- ลดการทานของทอดต่างๆ ที่ใช้อุณหภูมิสูง จะทำให้เกิดสารประกอบ advanced glycation end products (AGEs) เกิดภาวะการอักเสบในร่างกายได้

- ลดการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นให้อาการสะเก็ดเงินรุนแรงขึ้น

 -------------------------------------------------------------------------------------

ลมพิษ (Urticaria)

มีลักษณะเป็นผื่นแดงนูน คัน ไม่มีขุย เปลี่ยนรูปร่างได้รวดเร็ว รอยผื่นมีขอบเขตชัดเจน และมีขนาดต่างๆกัน ผื่นมักปรากฏ 24 - 48 ชม. ก็จะจางลงโดยไม่ทิ้งรอยเดิมไว้ และอาจขึ้นใหม่ที่เดิม หรือ ย้ายบริเวณได้ ซึ่งจะเป็นๆหายๆอยู่หลายวัน

ประเภทของลมพิษ

แบ่งออกเป็น 2 ชนิด

1. ลมพิษชนิดปัจจุบัน หรือเฉียบพลัน มักมีอาการต่อเนื่องกันไม่เกิน 6 อาทิตย์ สาเหตุที่เกิดได้ คือ จากการแพ้อาหาร, แพ้ยา, แมลงสัตว์กัดต่อย การติดเชื้อบางชนิด บางรายอาจมีอาการแสดงที่อวัยวะอื่น เช่น แน่นหน้าอก, แน่นจมูก, ปวดท้อง, ความดันต่ำ, ปากและตาบวม ผื่นอาจขึ้นต่อเนื่องไปจนเป็นลมพิษเรื้อรัง

2. ลมพิษชนิดเรื้อรัง มักจะแสดงอาการแบบเป็นๆ หายๆ ต่อเนื่องกันนานเกิน 6 อาทิตย์ ซึ่งสาเหตุจะแตกต่างจากลมพิษปัจจุบัน โดยคนกลุ่มนี้ส่วนหนึ่งไม่สามารถหาสาเหตุได้ เพราะอาจเกิดจากความแปรปรวนภายในร่างกาย แต่สิ่งที่สามารถกระตุ้นให้ลมพิษเรื้อรังเป็นมากขึ้น ได้แก่ ยาแอสไพริน, ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์, ยาปฏิชีวนะ, ประจำเดือน, พักผ่อนไม่เต็มที่ เป็นต้น

อาการอื่นร่วมด้วย

ในบางรายนอกจากมีผื่นแล้ว อาจมีอาการบวมร่วมด้วย อาการบวมเกิดได้ทั่วร่างกาย แต่พบบ่อยที่หนังตา ริมฝีปาก แขน ขา หรืออาจมีแต่อาการบวมอย่างเดียว โดยไม่มีผื่น

ลมพิษก็ได้ ถ้าบวมที่กล่องเสียงจะทำให้เสียงแหบ หรือหายใจลำบาก และอาจมีอันตรายถึงชีวิต

มักพบในวัยไหน

ลมพิษพบได้ทั้งในเด็ก และผู้ใหญ่

พบได้บ่อยไหม

พบได้บ่อยประมาณ 15% ของคนทั่วไป

สาเหตุที่ทำให้เกิดลมพิษ

- ยา เช่น เพนนิซิลิน ซัลฟา คลอแรมเฟนนิคอล เป็นต้น

- แมลงกัดหรือต่อย เช่น ยุง หมัด ไร โดยอาการจะไม่รุนแรง แต่ถ้าผึ้ง หรือมดบางชนิดอาการอาจรุนแรงได้

- การสัมผัสสารเคมี เช่น เครื่องสำอาง

- การสัมผัสวัตถุบางชนิด เช่น เครื่องประดับ ขนสัตว์

- การทานอาหารกลุ่มโปรตีน เช่น อาหารทะเล เนื้อ ไข่แดง ถั่ว เนย นม ช็อคโกแลต

- สูดดมบางอย่าง เช่น ละอองเกสร ดอกไม้

- การดื่มแอลกอฮอล์

- ความร้อน ความเย็น แสงแดด การสั่นสะเทือน กดทับ เกา หรือ ขีดข่วน

- การติดเชื้อในระบบต่างๆของร่างกาย

- ความกลัว กังวล ความเครียด

- และไม่พบสาเหตุในบางคน มักเป็นลมพิษแบบเรื้อรัง

- โรคลมพิษอาจเป็นสัญญาณของปัญหาทางสุขภาพ เช่น โรคไทรอยด์ หรือลูปัส (Lupus) หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง ที่เรียกกันติดปากว่า “โรคพุ่มพวง”

การป้องกันและรักษา

สังเกต และจดบันทึกลักษณะอาการ เวลาที่พบอาการ อาหารที่รับประทาน สารเคมีที่สัมผัส เป็นต้น เพื่อหาสาเหตุที่เกิดขึ้น

- เมื่อพบสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ ให้หลีกเลี่ยงสาเหตุเหล่านั้น

- ถ้ามีอาการมาก หรือเป็นเรื้อรัง แนะนำว่า ควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยอย่างถูกต้อง

ข้อควรระวัง

ถ้ามีอาการลมพิษ ร่วมกับอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก ควรพบแพทย์โดยด่วน

 -------------------------------------------------------------------------------------

โรคแผลกินเนื้อ หรือโรคแบคทีเรียกินเนื้อคน

แผลที่คล้ายแมลงกัด อาจเป็นการติดเชื้อวัณโรคที่ผิวหนังได้

โรค Buruli หรือ Bairnsdale ulcer เป็นการติดเชื้อวัณโรคที่ผิวหนัง เกิดแผลเป็นก้อนที่ใต้ผิวหนัง ทำให้เข้าใจว่าเป็นตุ่มที่เกิดจากแมลงกัด แนะนำผู้ป่วยที่มีอาการควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง

โรคแผลกินเนื้อ หรือโรคแบคทีเรียกินเนื้อคน ขอเรียนว่า โรค Buruli  หรือ Bairnsdale ulcer เป็นการติดเชื้อวัณโรคที่ผิวหนังที่ทำให้เกิดเป็นแผล 

การติดเชื้อพบใน หนองน้ำ  แอ่งน้ำ หรือ ผู้ป่วยสัมผัสกับน้ำในแอ่งน้ำที่มีเชื้ออยู่ 

เชื้อที่เป็นสาเหตุ  คือ เชื้อวัณโรคที่มีชื่อว่า Mycobacterium  ulcerans ทำให้เกิดโรคที่เรียกว่า Buruli  ulcer disease

ส่วนมากมักพบบ่อยในเด็ก และวัยหนุ่มสาว 

พบมากในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยพบเป็นก้อนที่ใต้ผิวหนัง  ทำให้เข้าใจว่าเป็นตุ่มที่เกิดจากแมลงกัดได้

ลักษณะแผล ตุ่มบนผิวหนังค่อยๆ ขยายออกและอาจแตกออกเป็นแผล  ขนาดของแผลอาจเซาะลึกลงไปถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง  มีเนื้อตายได้  ผู้ป่วยมักไม่มีอาการเจ็บที่แผล  รู้สึกสบายดี  เนื่องจากเส้นประสาทที่บริเวณบาดแผลถูกทำลายโดยพิษจากเชื้อที่เรียกว่า Mycolactone บาดแผลอาจเกิดที่ส่วนใดของร่างกายก็ได้ แต่มักพบในส่วนของแขน ขามากกว่า 

ในผู้ใหญ่ แผลอาจมีขนาดใหญ่ และอาจขยายลามเป็นทั้งขาได้  แผลอาจเป็นอยู่ได้นานเป็นหลายเดือนหรือหลายปีได้  โดยอาจมีการหาย หรือเป็นใหม่ได้ในคนๆ เดียวกัน อาจหายโดยมีแผลเป็นหรือ อาจส่งผลให้มีอาการขาบวมจากการที่มีแผลเป็น และการไหลเวียนของระบบน้ำเหลืองที่ไม่ดี  จะไม่พบอาการข้างเคียงของต่อมน้ำเหลืองโต  หรืออาการข้างเคียงทางร่างกายอื่นๆ ที่พบร่วมกัน  จนกว่าจะมีการติดเชื้อแบคทีเรียเพิ่มเติมเข้าไปในผู้ป่วย 

การวินิจฉัยแยกโรค ในระยะแรกที่เป็นก้อนใต้ผิวหนังต้องแยกกับกลุ่มที่มีสิ่งแปลกปลอมทิ่มแทงเข้าไปในผิวหนัง (Foreign body granuloma) แมลงกัด (Insect bite reaction) การติดเชื้อราที่ผิวหนังชั้นลึก ซีสต์ใต้ผิวหนัง (Infected sebaceous cyst) ไขมันใต้ผิวหนังอักเสบ (Panniculitis) ในระยะที่เป็นแผลต้องแยกโรคกับโรคผิวหนังติดเชื้อแบคทีเรีย หรือ โรคเนื้อเน่า (necrotizing faciitis)

การรักษา ผู้ป่วยที่มีอาการควรพบแพทย์เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง และควรได้รับการเพาะเชื้อจากบาดแผล เพื่อให้ทราบถึงเชื้อที่เป็นสาเหตุ และเพื่อเป็นแนวทางในการเลือกใช้ยาปฏิชีวนะที่ใช้ในการรักษาควบคู่ไปกับการได้รับการดูแลแผลที่ถูกวิธี

 -------------------------------------------------------------------------------------

โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้หรือโรคภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis)

เกิดจากการอักเสบเป็นระยะเวลานาน หรือเรื้อรังบริเวณผิวหนัง

มีลักษณะเป็นผื่นขึ้น เป็นๆ หายๆ และมีผื่นนั้น ก็จะคันกระจายตามบริเวณต่างๆ ของร่างกาย

สาเหตุ

พันธุกรรม สิ่งแวดล้อม หรือความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน เช่น แพ้อาหารหรือสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ สารระคายเคือง เหงื่อ การเกา การติดเชื้อของผิวหนัง ความเครียด การอาบน้ำอุ่นจัดทำให้ผิวแห้ง การใช้สบู่ที่มีความเป็นด่างทำให้ผิวแห้ง เป็นต้น

อาการที่พบบ่อย

ผื่นแดงคันตามข้อพับ เช่น ข้อพับแขน ข้อพับขา คอ รักแร้ ขาหนีบ ร่องก้น

ผื่นหรือตุ่มคันตามแขน ขา 2 ข้าง แต่บางรายก็เป็นข้างเดียว

เป็นดวงหรือวงขาวบริเวณแก้ม แขน ขา หรือลำตัว อาจเป็นวงเดียวหรือหลายวง

ตุ่มนูนบริเวณรูขุมขนส่วนแขน ขา

ผื่นคันแดงหรือน้ำตาลบริเวณศอก เข่า ต้นคอ

ผื่นแดงลอกเป็นสะเก็ดที่นิ้วมือ นิ้วเท้า ฝ่ามือหรือ ฝ่าเท้า

ริมฝีปากแดง แห้งลอกเป็นขุย เป็นๆหายๆ

อาการคัน ทำให้นอนไม่หลับ หงุดหงิด การเกาหรือแกะผิวหนังอย่างมาก ทำให้อาการผิวหนังอักเสบกำเริบมากขึ้น มีน้ำเหลืองออกมาที่ผิวหนัง ยิ่งทำให้อาการคันกระจายไปทั่วตัวที่ ชาวบ้านเรียกว่า “น้ำเหลืองเสีย”

จุดสังเกตตำแหน่งที่พบบ่อย

แก้ม (ทารก), คอ, ข้อพับแขน ขา, ข้อเท้า, หลังต้นขา, หลังเท้า

ภูมิแพ้ผิวหนังวัยทารก (Infantile atopic dermatitis) จะมีผื่นขึ้น 1-2 เดือนแรก

ส่วนมากพบบริเวณใบหน้า คาง ตามลำตัว แขน ขา

หากมีอาการแพ้ระดับปานกลางไปจนถึงรุนแรงมักจะมีการแพ้ของอาหารร่วมด้วย เช่น แพ้อาหารผ่านนมแม่

ภูมิแพ้ผิวหนังวัยเด็ก (Childhood atopic dermatitis)

ช่วงวัยนี้มักจะพบผื่นตามข้อพับแขน ขา ข้อเท้า

มักกระตุ้นจากการแพ้เหงื่อ ไรฝุ่น และอากาศ เมื่ออายุมากขึ้นอาการจะดีขึ้นเหลือเพียงผิวแห้ง หรือเด็กบางคนยังมีอาการไปตลอดจนถึงช่วงวัยรุ่น

ภูมิแพ้ผิวหนังในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ (Adolescent or adult type atopic dermatitis)

ส่วนใหญ่จะเป็นๆ หายๆ อาจมีสิ่งกระตุ้นทำให้เกิด เช่น เหงื่อ การอาบน้ำอุ่นทำให้ผิวแห้ง อากาศแห้งในฤดูหนาว การเกาจนติดเชื้อที่ผิวหนัง หรือสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ เช่น ไรฝุ่น เป็นต้น

การตรวจวินิจฉัย

ซักประวัติอาการทางผิวหนัง ประวัติครอบครัว ตรวจร่างกาย

การตรวจเลือดหาแอนติบอดี้ต่อสารก่อภูมิแพ้ที่สงสัย (Specific IgE to food allergen / aeroallergen)

การทดสอบภูมิแพ้ที่ผิวหนัง (Skin prick test)

วิธีที่นิยมที่สุด เพราะเป็นการตรวจที่ถูกต้อง แม่นยำ ไม่มีความเจ็บปวด ไม่ต้องเจาะเลือด

โดยต้องงดรับประทานยาแก้แพ้อย่างน้อย 7 - 10 วัน และไม่มีผื่น

- สำหรับเด็กทารกจะทำการทดสอบที่บริเวณหลังส่วนบน

- สำหรับเด็กโตหรือผู้ใหญ่จะทำการทดสอบที่บริเวณท้องแขน

การรักษา

ยาทา ได้แก่ ยาสเตียรอยด์ชนิดทา

ยาทาลดการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์

ยารับประทาน ได้แก่ ยาแก้แพ้เพื่อลดอาการคัน, ยาฆ่าเชื้อกรณีที่มีการติดเชื้อร่วมด้วย หรือยาสเตียรอยด์ชนิดรับประทานกรณีที่อาการผื่นรุนแรงมาก

การป้องกัน

ทำความสะอาดร่างกายและล้างมืออยู่เสมอ

ควรใช้สบู่อ่อนๆ ไม่มีน้ำหอม ไม่มีสารกันเสีย และอ่อนโยนต่อผิว

ทาโลชั่นทุกครั้งหลังอาบน้ำภายใน 3 นาที หรือ หลังเช็ดตัวหมาดๆ เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว

หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม ผงซักฟอกที่มีสารเคมีหรือน้ำหอมแรงๆ

หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่น เนื้อผ้าลูกไม้ เนื้อหยาบหนา หรือผ้าขนสัตว์ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว

หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีฝุ่นละออง แมลง และยุงชุกชุม

รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกาย เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย

-------------------------------------------------------------------------------------

 โรคงูสวัด

เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ที่เรียกว่า ไวรัสวาริเซลลา (varicella virus) ซึ่งเป็นเชื้อเดียวกับไวรัสที่ทำให้เกิดโรคสุกใส และเป็นไวรัสที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับไวรัสเริม โดยที่ผู้ป่วยเมื่อเป็นโรคสุกใสแล้ว เมื่อหายจากโรค เชื้อไวรัสจะเข้าไปซ่อนในปมประสาท และจะถูกกระตุ้นเมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ ซึ่งไวรัสจะมีการแบ่งตัวทำให้การปล่อยเชื้อไวรัสออกมาตามแนวเส้นประสาท

อาการ

เบื้องต้นคือปวดแสบปวดร้อนที่ผิวหนังซึ่งถูกควบคุมโดยแนวเส้นประสาทนั้น ต่อมาจะมีผื่นแดงตามด้วยตุ่มน้ำในลักษณะเป็นกลุ่มเรียงตัวตามแนวเส้นประสาท โดยที่ตุ่มน้ำสามารถกลายเป็นตุ่มหนองและแตกเป็นแผล หรือเป็นสะเก็ดตามมาได้ หลังจากอาการทางผิวหนังหายแล้ว อาจมีอาการปวดเรื้อรังในผู้ป่วยบางราย รวมถึงอาจมีแผลเป็นตามหลังได้

บริเวณที่พบ

ส่วนใหญ่มักมีอาการทางผิวหนัง ในบางรายที่มีตำแหน่งใบหน้า  อาจจะต้องระวังโรคงูสวัดเข้าดวงตา

การเกิดการกระตุ้นของไวรัส varicella ที่ทำให้เกิดโรคงูสวัดนั้น

มักเกิดขึ้นในผู้สูงอายุ  ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง และผู้ป่วยที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้ยาเคมีบำบัด 

การป้องกัน

งูสวัดเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน (Zoster vaccine) การฉีดวัคซีน zoster  จะใช้ในผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 60 ปี วัคซีนจึงเป็นเครื่องมือใหม่สำหรับให้แพทย์เลือกใช้

ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อ สร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ด้วยการออกกำลังกาย ลดความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ

การรักษาโรคงูสวัด

มีทั้งการรักษาตามอาการ และการรักษาร่วมกับการใช้ยาต้านไวรัส เพื่อช่วยให้การหายของโรคเร็วขึ้น และให้ยาแก้ปวดปลายเส้นประสาท เพื่อป้องกันและลดความทุกข์ทรมานจากโรคงูสวัด หากสงสัยว่าเป็นโรคงูสวัด แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เนื่องจากการรักษาในช่วงแรกของโรคมีผลการรักษาที่ดีกว่า

-------------------------------------------------------------------------------------

โรคผิวหนังเนื้อชาหรือโรคเรื้อน

เป็นโรคติดต่อเรื้อรังชนิดหนึ่งซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ที่มักอาศัยอยู่ในบริเวณผิวหนัง และเส้นประสาทส่วนปลาย และเยื่อบุจมูกของผู้ป่วยระยะติดต่อ

การติดต่อ

โดยการอาศัยอยู่ใกล้ชิดสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้อมากเป็นเวลานาน และได้หายใจเอาเชื้อโรคนี้เข้าสู่ร่างกาย แต่คนทั่วไปมากกว่า 95% จะมีภูมิต้านทานตามธรรมชาติอยู่แล้ว

อาการ

เชื้อโรคเรื้อนจะทำลายเส้นประสาทส่วนปลาย และผิวหนัง

โรคเรื้อนในระยะเริ่มแรก

จะเป็นชนิดเชื้อน้อย โดยพบผิวหนังเป็นผื่นวงด่าง สีขาวหรือสีแดง มีอาการแห้งชา เหงื่อไม่ออก เป็นมัน

โรคเรื้อนในระยะรุนแรง

จะเป็นชนิดเชื้อมาก โดยพบว่ามีผื่นนูนแดง หรือตุ่มแดงทั่วตัว ไม่คัน เส้นประสาทถูกทำลาย ทำให้มีอาการ มือเท้าชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง

อาการน่าสงสัยว่าเป็น

ผิวหนังเป็นวงด่าง สีขาวหรือสีแดง มีอาการชา เป็นผื่น ตุ่มนูนแดง ไม่คัน ไม่เจ็บ

ใช้ยากินหรือยาทา 3 เดือนแล้วไม่หาย ให้รีบเข้ามารับการรักษาเพื่อเป็นการตัดวงจรการแพร่ของโรคและลดความพิการ

หากวินิจฉัยเป็นโรคผิวหนังเนื้อชาสามารถรักษาฟรีได้ที่โรงพยาบาลของรัฐทุกแห่งทั่วประเทศ

บริเวณที่พบมาก คือ

แขน ขา หลัง และสะโพก

การรักษา

ยารับประทานฆ่าเชื้อ โดยต้องรักษาต่อเนื่อง 6 เดือน ถึง 2 ปี แล้วแต่ความรุนแรง แต่ต้องมารักษาภายใน 1 ปี หลังจากเริ่มมีอาการ

-------------------------------------------------------------------------------------

เห็บทำให้เกิดอาการแพ้ที่ผิวหนังได้

แพทย์ผิวหนังมีคำแนะนำนะคะ

ถ้าโดนเห็บกัด ทำให้เกิดอาการแพ้ที่ผิวหนัง บางคนเกิดอาการรุนแรงได้

มักพบในสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข แมว ซึ่งเป็นสาเหตุของพาหะนำโรคหลายชนิด

หมอจะนำวิธีการป้องกันและการรักษาที่ถูกวิธี

เราต้องระวังเห็บกัด เพราะเห็บเป็นสัตว์กินเลือด ขยายพันธุ์ได้รวดเร็วมาก เห็บตัวเมียจะขยายขนาดตัวได้ 4-5 เท่า หรืออาจมีขนาดเท่าข้อนิ้วก้อย ซึ่งปกติเห็บอาศัยอยู่กับสัตว์เลี้ยง และสัตว์เลี้ยงก็อยู่ใกล้ชิดกับคน จึงมีโอกาสถูกเห็บกัดได้ โดยในบางคน เมื่อถูกเห็บกัดสามารถก่อให้เกิดอาการแพ้รุนแรงที่ผิวหนังได้ หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอาจเกิดอาการแทรกซ้อน ทำให้เกิด ฝี หนอง และอาจติดเชื้อในกระแสเลือด เห็บชอบอยู่ในที่อับชื้น และพื้นที่แคบๆ

วิธีการป้องกัน คือ กำจัดแหล่งรังโรค รักษาสุนัขที่มีเห็บ อาบน้ำรักษาความสะอาดสัตว์เลี้ยงสม่ำเสมอ รักษาความสะอาดของบ้านหรือที่พักอาศัยและเครื่องนุ่มห่ม

การรักษาที่ถูกวิธี คือ หากทีอาการแพ้ที่ผิวหนังให้รีบมาพบแพทย์ทันที และกำจัดแหล่งที่อยู่ของเห็บให้สะอาดเรียบร้อย

-------------------------------------------------------------------------------------

วิธีรักษาสิว แบบธรรมชาติ สิวหายเกลี้ยงไม่มีเหลือกวนใจ

สำหรับคุณสาว ๆ ที่มีปัญหากับสิวตัวการมานานหลายปี ลองใช้ครีมราคาแพง ๆ ก็แล้ว ทำสารพัดวิธีก็แล้ว แต่สิวเจ้ากรรมก็ไม่มีวี่แววว่าจะหายขาดสักที บางครั้งหายแล้วก็ยังขึ้นมาใหม่เรื่อย ๆ บวกกับทิ้งรอยดำเอาไว้ให้ดูต่างหน้าเล่นอีก แบบนี้ล่ะช้ำใจแย่ ถ้าหากใครที่กำลังเจอกับปัญหานี้อยู่ บอกเลยว่าไม่ต้องไปหาวิธีรักษาสิวราคาแพง ๆ ที่ไหนอีกแล้วล่ะค่ะ แค่หันมาพึ่งวิธีแบบธรรมชาติ รับรองว่าช่วยได้แน่นอน แถมยังทำได้ง่าย ๆ เผลอ ๆ กลายเป็นสิวหายเกลี้ยงไม่มีเหลือให้กวนใจอีกต่างหาก เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็อย่ารอช้า รีบมาดูสูตรรักษาสิวแบบธรรมชาติที่กระปุกดอทคอมนำมาฝากกันเลยดีกว่า

1.พอกหน้าด้วยดินสอพอง ผงขมิ้นชัน และน้ำผึ้ง
นำดินสอพองมาบดละลายน้ำ ผสมกับผงขมิ้นชัน และน้ำผึ้ง คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน และนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วค่อยล้างหน้าให้สะอาด ทำบ่อย ๆ จะช่วยทำให้สิวอักเสบยุบลง แผลสิวค่อย ๆ แห้ง และหายไปในที่สุด

2.พอกหน้าด้วยมะละกอ น้ำผึ้ง และน้ำมะนาว
นำมะลอกอสุกมาบดให้ละเอียด ผสมน้ำผึ้ง และมะนาวอย่างละ 1 ช้อนโต๊ะลงไป คลุกเคล้าให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก สูตรนี้จะช่วยรักษาสิวอักเสบและลดรอยแดงได้

3.ใช้น้ำมะนาวทาหน้า
บีบน้ำมะนาวสด ๆ ในถ้วย ผสมน้ำอุ่นลงไปเล็กน้อย จากนั้นนำสำลีมาชุปน้ำมะนาวทาหน้า โดยให้ทาทิ้งไว้ก่อนนอนโดยไม่ต้องล้างออก วิธีนี้จะช่วยทำให้สิวแห้งและยุบตัวเร็ว อีกทั้งยังจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิวได้อีกด้วย

4.ทาหน้าด้วยหอมแดง
ปอกเปลือกหอมแดง ฝานเป็นแว่น ๆ และทุบเล็กน้อยเพื่อให้น้ำหอมแดงออกมา จากนั้นให้นำหอมแดงมาทาบริเวณที่เป็นสิว โปะทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที ค่อยเอาออกแล้วล้างหน้าให้สะอาด วิธีนี้จะช่วยทำให้สิวอักเสบยุบตัวลง และทำให้รอยดำรอยแดงจากสิวจางลง แถมยังช่วยยับยั้งแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวใหม่ได้อีกด้วย

5.มาสก์หน้าด้วยไข่ขาว
นำสำลีไปชุบกับไข่ขาว แล้วนำมาทาโปะบาง ๆ ให้ทั่วใบหน้า โดยเว้นบริเวณรอบดวงตา และริมฝีปาก ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วค่อยลอกออก เสร็จแล้วให้ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น วิธีนี้จะช่วยกำจัดสิวเสี้ยนและสิวอุดตันได้ รวมไปถึงชำระสิ่งสกปรกที่อยู่บริเวณผิวหน้าได้ดี และรูขุมขนก็จะกระชับขึ้นด้วย

6.พอกหน้าด้วยแตงกวา
นำแตงกวาไปปอกเปลือก สับเป็นชิ้นเล็ก ๆ ให้ละเอียด นำไปแช่ในตู้เย็นไว้จนเย็น จากนั้นให้นำมาพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างหน้าให้สะอาด สูตรนี้จะช่วยลดสิวอักเสบ ลดความมันบนใบหน้าป้องกันการเกิดสิวใหม่ ทำให้รูขุมขนกระชับ และหน้าใสขึ้นด้วย

7.ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ
การดื่มน้ำสะอาดที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน จะช่วยล้างสารพิษออกจากร่างกาย ทำให้หน้าใส สิวหาย และผิวพรรณดีขึ้นได้
ขอบคุณkapook

ครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ครีมหน้าเด็ก ครีมหน้าเงา สิว ฝ้า กระ ไวท์บูสเตอร์ของเพอร์เฟ็กต้า ไวท์บูสเตอร์ เพอร์เฟ็กต้า

-------------------------------------------------------------------------------------
 
 
หน้าใสเด้งแน่! 5 ข้อควรรู้ ล้างหน้าแบบนี้สิถูกต้อง ไร้สิวมากวนใจ

ไม่ว่าสาวๆ คนไหน ต่างก็ต้องการมีผิวหน้าที่สวยสะอาด ปราศจากสิว ฝ้ามากวนใจทั้งนั้น ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญเลยก็คือ การดูแลและทำความสะอาดผิวหน้า วันนี้เราจะมาบอก 5 ข้อควรรู้ วิธีล้างหน้า ที่ถูกต้องทำแบบนี้นะคะ

1. เช็ดหน้าก่อนทุกครั้ง
สิ่งแรกที่ต้องทำก่อนล้างหน้าเลยก็คือ การเช็ดทำความสะอาดผิวหน้าด้วย Makeup Remover ไม่ว่าสาวๆ จะแต่งหน้าหรือไม่ก็ตาม เพราะทุกๆ วันเราจะต้องทาครีมกันแดดอยู่แล้ว ขืนไม่เช็ดออก เป็นสิวอุดตันแย่

2. เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดให้เหมาะกับสภาพผิวหน้า
ข้อนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน สาวๆ จะต้องเช็กสภาพผิวหน้าของตัวเองให้ดีว่าเป็นแบบไหน ผิวแพ้ง่าย ผิวแห้ง หรือผิวมัน ก็ให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับใบหน้า หากผลิตภัณฑ์ตัวไหนที่ใช้แล้วแพ้ให้หยุดใช้ทันที

3. ล้างหน้าตามแนวขน
ขนบนใบหน้าของเรา จะลู่ลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งการล้างหน้าตามแนวขนนั้น นอกจากจะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีแล้ว ยังขจัดสิ่งอุดตัน ที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวต่างๆ ได้อีกด้วย

4. ทาครีมบำรุงให้เป็น
แม้จะเป็นครีมบำรุง สาวๆ ก็ต้องรู้จักเลือกให้เหมาะกับผิวหน้าเหมือนกัน หากตัวไหนแพ้ ให้รีบหยุดใช้ทันที อย่าเสียดาย แล้วใช้ต่อเด็ดขาด เพราะผลที่ตามมา อาจจะไม่คุ้นนะ

5. ทรีตเมนต์หน้าซะบ้าง
ทรีตเมนต์ในทีนี้ ไม่ได้หมายถึงการไปเข้าสปาหน้าเพียงอย่างเดียว แต่สาวๆ จะต้องรู้จักสครับหน้า เพื่อให้ผิวหน้าได้ผลัดเซลล์ผิวใหม่บ้าง หรือมากส์หน้า เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว
ขอบคุณmthai

ครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ครีมหน้าเด็ก ครีมหน้าเงา สิว ฝ้า กระ ไวท์บูสเตอร์ของเพอร์เฟ็กต้า ไวท์บูสเตอร์ เพอร์เฟ็กต้า

-------------------------------------------------------------------------------------
 
 
รวมวิตามินบำรุงผิว ผิวสวย ผิวดี ขาวอมชมพูได้ไม่ยาก

เอาใจคนรักสวยรักงามอีกครั้งครับ สำหรับใครที่ใส่ใจเรื่องการบำรุงผิวพรรณเป็นพิเศษ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำมากๆ พักผ่อนให้เพียงพอ ล้วนช่วยให้คุณมีผิวพรรณที่ดีได้ แต่ในยุคสมัยที่เร่งด่วนแบบนี้ การเลือกสรรอาหารดีๆ หรือพักผ่อนให้เพียงพอ อาจเป็นเรื่องยาก การทาโลชั่นที่ผสมวิตามินบำรุงผิว หรือทานอาหารเสริม สามารถเข้ามามาเติมเต็มช่องว่างตรงนี้ได้ เพื่อไม่ให้ผิวพรรณของเราแย่ไปกว่าเดิม เรารวม 6 วิตามินที่นิยมใช้ในการบำรุงผิว ทำให้เราผิวสวย ผิวดี ขาวอมชมพูได้ไม่ยาก มีอะไรบ้างนะ

1. วิตามิน C 
มีคุณสมบัติในการต่อต้านการเกิดริ้วรอย วิตามินซีในปริมาณมากพอจะกระตุ้นให้เซลล์ผิวสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ผิวดูสดใสอ่อนเยาว์ และยังช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเอง โดยการเสริมสร้างผนังเซลล์ ทำให้แผลหายเร็ว ลดการอักเสบ นอกจากนี้ ยังช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ผลิตเม็ดสีผิว ทำให้ผิวพรรณขาวกระจ่างใส ลดเลือนริ้วรอย จุดด่างดำ และรอยสิวต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญช่วยปกป้องผิวจากยูวีด้วยค่ะ แต่เนื่องจากเป็นวิตามินชนิดละลายในน้ำได้ ร่างกายจึงไม่สามารถสะสมวิตามินนี้ไว้ได้นาน เราจึงต้องเติมวิตามินซี เข้าสู่ร่างกายเป็นประจำ

2. วิตามิน E
มีคุณสมบัติที่ดีต่อผิวมากมาย ทั้งเป็นสารบำรุงให้ผิวชุ่มชื้น ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว ลดการอักเสบของสิว และปกป้องผิวจากรังสีอุลตร้าไวโอเล็ตอีกด้วย โดยมากวิตามิน E จะถูกใช้ในการป้องกันและรักษาผิวพรรณ เพราะช่วยลดอัตราการทำลายผิวจากแสงแดดที่ทำให้เกิดรอยแดง ลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งผิวหนัง ช่วยชะลอการเหี่ยวย่น ลดริ้วรอย และสมานรอยแตกลายบนผิว

3. วิตามินบีรวม
เป็นกลุ่มวิตามิน ประกอบได้ด้วย วิตามิน B1 B2 ไนอะซีน แพนโทธีนิกแอซิด B6 B12 โฟลิกแอซิด ไอโอซิทอล และโคลีน วิตามินบีรวม ช่วยบำรุงผิวให้สดชื่น สดใส เปล่งปลั่ง แต่ต้องระวังอย่าทานก่อนนอนนะครับ เพราะวิตามินบีรวมจะทำให้เราตื่นตัว จนคุณอาจกลายเป็นนกฮูกทั้งคืนได้

4. L – Glutathione 
แอล – กลูต้าไธโอน เป็นสารต้านอนูมูลอิสระที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เอง มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ช่วยปกป้องเนื้อเยื่อไม่ให้ถูกทำลาย กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย และขับสารพิษออกจากร่างกาย ซึ่งทำให้ผิวใสขึ้น ทั้งนี้ กลูต้าไธโอนมีผลข้างเคียงทำให้เม็ดสีผิวเปลี่ยนจากสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว ทำให้คนนิยมนำมาทำให้ผิวขาว แต่เพราะเกิดจากผลข้างเคียงของยา จึงไม่ผ่านการรับรองข้อบ่งใช้สำหรับทำให้ผิวขาว กลูต้าไธโอนมีอยู่ในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น ข้าวซ้อมมือ สตรอเบอร์รี่ องุ่น อะโวคาโด หน่อไม้ฝรั่ง เนื้อปลา และเนื้อแดง อย่างเนื้อหมูและเนื้อวัว

5. Co – enzyme Q10 
โคเอ็นไซม์ คิวเท็น มีบทบาทในการบำรุงผิวพรรณในเรื่องของการชะลอการแก่ก่อนวัย ป้องกันริ้วรอย และช่วยฟื้นฟูสภาพผิว ที่สำคัญโคเอ็นไซม์ คิวเท็น ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน จึงลดความเสื่อมของเซลล์ และกำจัดของเสียออกจากเซลล์ ส่งผลให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้นด้วย

6. Zinc หรือ สังกะสี
สังกะสีช่วยรักษาบาดแผลในร่างกาย ควบคุมฮอร์โมน และควบคุมอาการผิดปกติของผิว จึงทำให้การเกิดสิวลดลง จึงนิยมนำมาเพิ่มในอาหารเสริมเพื่อบำรุงผิวให้ขาวกระจ่างใส
ขอบคุณteenee

ครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ครีมหน้าเด็ก ครีมหน้าเงา สิว ฝ้า กระ ไวท์บูสเตอร์ของเพอร์เฟ็กต้า ไวท์บูสเตอร์ เพอร์เฟ็กต้า

-------------------------------------------------------------------------------------
 
6 วิธีทาครีมกันแดดที่ถูกต้อง และได้ประสิทธิภาพสูงสุด

เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าวิธีทำให้ผิวขาวสวยขึ้นมาได้นั้น หนึ่งในเคล็ดลับที่สำคัญไม่แพ้การใช้ครีมบำรุงผิวเลยคือ "การทาครีมกันแดด" ซึ่งครีมกันแดดที่ดีนั้นต้องมี SPF อย่างน้อย 30 และมี PA+++ ถึงจะเพียงพอต่อการปกป้องผิวสวย เมื่อมีครีมกันแดดคุณภาพดีแล้วสิ่งที่จะขาดไปไม่ได้เลย คือวิธีทาครีมกันแดดที่ถูกต้อง หากทาครีมกันแดดไม่ถูกวิธี นอกจากจะเปลืองเงินแล้วผิวของเราก็ยังไม่ได้รับการปกป้องอย่างเพียงพออีกด้วย ว่าแต่ควรทำอย่างไรบ้าง กระปุกดอทคอมมีเคล็ดลับดี ๆ มาฝากค่ะ

1. ทาครีมกันแดดก่อนออกแดดประมาณ 20 นาที
ครีมกันแดดส่วนใหญ่มีผลในการปกป้องแสงแดดได้ก็ต่อเมื่อทาลงไปบนผิวนานมากกว่า 20 นาทีแล้วเท่านั้น หากออกแดดทันทีหลังจากทาครีมกันแดดเสร็จผิวอาจไหม้แดดได้โดยไม่รู้ตัว เป็นที่มาของความสงสัยที่ว่าทำไมทาครีมกันแดดแล้วยังดำอยู่นั่นเอง

2. ทาครีมกันแดดในปริมาณที่เพียงพอ ไม่น้อยหรือมากเกินไป
ผู้ใช้ครีมกันแดดหลาย ๆ คนมักจะใช้ครีมกันแดดในปริมาณที่น้อยด้วยราคาที่สูงของครีมกันแดด ซึ่งนั่นเป็นวิธีการทาครีมกันแดดที่ไม่ถูกต้อง หากต้องการปกป้องผิวกายจากรังสียูวีที่พร้อมจะเข้ามาทำร้ายผิวเราได้เสมอนั้น ควรใช้ปริมาณที่พอเหมาะกับแต่ละจุด

3. เมื่อลงเล่นน้ำต้องทากันแดดสำหรับกันน้ำโดยเฉพาะ
เวลาลงเล่นน้ำเราก็สามารถทาครีมกันแดดได้ ซึ่งบนฉลากต้องระบุไว้ว่า "Water Resistant" เท่านั้น นอกจากจะกันน้ำได้ ยังกันเหงื่อขณะเล่นกีฬาได้อีกด้วย ถึงจะขึ้นชื่อว่า กันน้ำ กันเหงื่อ ก็ใช่ว่าจะลงน้ำหรือเล่นกีฬาได้ตลอดโดยไม่ต้องทาครีมกันแดดเพิ่ม เพราะจริง ๆ แล้วหลังจากโดนน้ำผ่านไป 40 นาที ประสิทธิภาพของครีมกันแดดจะลดลงแต่ก็ยังพอกันแดดได้บ้าง

และเมื่อเล่นน้ำหรือมีเหงื่อออกต่อเนื่องไปจนถึง 80 นาที ครีมกันแดดจะเสื่อมประสิทธิภาพจนไม่สามารถกันแดดได้อีกเลย ดังนั้นควรทาครีมกันแดดซ้ำอีกครั้งเมื่อต้องเล่นน้ำเกิน 80 นาที แต่เพื่อความมั่นใจว่าผิวจะไม่ถูกทำร้ายด้วยแดดขณะเล่นน้ำ การทาครีมกันแดดชนิดกันน้ำซ้ำทุก ๆ 40 นาทีจะเป็นการป้องกันได้ดีที่สุด

4. ควรทาครีมกันแดดทุก ๆ 2 ชั่วโมง
เราควรทาครีมกันแดดซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง ต่อให้ครีมกันแดดนั้นมี SPF หรือค่า PA ที่สูงมากเพียงใด แต่เมื่อเผชิญมลภาวะทั้งฝุ่น ควัน น้ำหรือเหงื่อ ประสิทธิภาพของครีมกันแดดนั้นจะลดลงในทันที ทางที่ดีควรพกครีมกันแดดขนาดเล็กติดตัวไว้ แล้วนำออกมาทาซ้ำอีกรอบช่วงบ่ายจะดีที่สุด

5. ไม่เอาครีมกันแดดทาผิวกายมาใช้กับผิวหน้า
ผิวหน้าคนเรามีความบอบบางกว่าที่คิด การใช้ครีมกันแดดสำหรับผิวหน้าควรเป็นสูตรที่อ่อนโยน เหมาะกับผิวหน้าเท่านั้น ซึ่งส่วนมากแล้วครีมกันแดดสำหรับผิวกายจะมีส่วนผสมของน้ำหอมและน้ำมันที่มากกว่าปกติ หากนำมาใช้กับผิวหน้าอาจเกิดอาการแพ้และเป็นสิวได้ง่าย

6. สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบุค่าการป้องกันรังสียูวี ช่วยกันแดดได้อีกทาง
ปัจจุบันนี้แบรนด์เสื้อผ้าหลายแบรนด์เริ่มหันมาให้ความสนใจผลิตชุดที่ป้องกันรังสียูวีกันมากขึ้น หลักของการป้องกันแสงแดดด้วยเสื้อผ้าเกิดจากขั้นตอนในการทอผ้า ต้องทอให้มีความแน่น เหลือช่องว่างน้อยจนแสงแดดไม่สามารถทะลุผ่านเสื้อผ้าได้ ค่าการป้องกันรังสียูวีจะลดหลั่นกันไปตามลักษณะการทอ แต่ต้องจำไว้ว่า ยิ่งกันแดดได้มากเท่าไหร่ เสื้อผ้าที่สวมใส่ยิ่งไม่สามารถระบายอากาศได้มากเท่านั้น หรือใครไม่สะดวกหาเสื้อผ้าที่ป้องกันรังสียูวีได้ แค่สวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว และกางร่มทุกครั้งเมื่อต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง ก็ถือเป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่น่าสนใจ
ขอบคุณ kapook

ครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ครีมหน้าเด็ก ครีมหน้าเงา สิว ฝ้า กระ ไวท์บูสเตอร์ของเพอร์เฟ็กต้า ไวท์บูสเตอร์ เพอร์เฟ็กต้า

-------------------------------------------------------------------------------------
 
 9 ไอเทมเพื่อผิวสวยสุขภาพดีจากธรรมชาติ ทำง่าย ไม่ต้องจ่ายแพง

เชื่อหรือไม่ว่าการที่คุณจะมีผิวสวยใสและเป็นผิวสุขภาพดีนั้น นอกจากการจะใช้ครีมบำรุงที่มีคุณภาพแล้ว การดูแลผิวด้วยของใกล้ตัวก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้ผิวของคุณสวยได้เช่นกัน ดังนั้นถ้าคุณอยากรู้ว่าของใกล้ตัวใดบ้างที่จะช่วยทำให้คุณผิวสวยได้ ลองดูข้อมูลดังต่อไปนี้กันค่ะ

1.มะละกอ
มะละกอถือว่าเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินเอและมีเอนไซม์สำคัญอย่างปาเปน ที่เป็นตัวเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวอย่างปลอดภัย ลดปัญหาผิวแห้ง หยาบกร้าน และทำให้ผิวดูเปล่งปลั่ง กระจ่างใส สามารถรับประทานได้อย่างมีประโยชน์และพอกหน้าได้อย่างปลอดภัย

2.ส้ม
ส้มเป็นตระกูลผลไม้รสชาติออกเปรี้ยวอมหวานที่ให้วิตามินซีสูง จึงทำให้ผิวกระจ่างใส พร้อมช่วยลดอาการอักเสบของสิวและลดปัญหาเรื่องการเกิดรอยแผลจากสิวได้เป็นอย่างดี ทั้งยังมีกรดซิตริกสูงจึงช่วยลดอาการระคายเคืองเมื่อต้องออกไปเจอแสงแดดได้ดี

3.มะเขือเทศ
มะเขือเทศเป็นผลไม้ยอดฮิตของการบำรุงผิว อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุสูง เต็มเปี่ยมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ทำให้ผิวกระจ่างใสและลดเลือนริ้วรอยได้เป็นอย่างดี

4.แตงกวา
แตงกวาคือตัวช่วยสำคัญในการเติมเต็มน้ำหล่อเลี้ยงผิว พร้อมช่วยลดอาการระคายเคืองในผิว อุดมไปด้วยวิตามินซีและฟีนอลิคที่จะทำให้ผิวปลอดภัยจากแสงแดด ลดการอักเสบของสิว พร้อมทำให้ผิวกระจ่างใสและนุ่มเนียนมากขึ้น

5.น้ำผึ้ง
น้ำผึ้งมีสารต้านอนุมูลอิสระอันทรงพลัง อุดมไปด้วยกรดกลูโคนิกที่จะยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย จึงทำให้ฆ่าเชื้อสิวได้ดีและช่วยลดการอักเสบของผิวจากการโดนแสงแดดได้อีกด้วย

6.กล้วย
กล้วยเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ผิวเนียนเรียบมากขึ้น โดยใช้ได้ทั้งผลและเปลือก สำหรับเปลือกสามารถนำมาถูบนผิวเพื่อสครับสิ่งสกปรกได้ ส่วนเนื้อสามารถนำมาพอกหน้าเพื่อรับวิตามินอี ทั้งยังมีสารฟีนอลิกที่จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว พร้อมทำให้ผิวใหม่แข็งแรงมากขึ้น

7.ข้าวโอ๊ต
ข้าวโอ๊ตเป็นธัญพืชที่อุดมไปด้วยสารสกัดที่มีประโยชน์ต่อผิว พร้อมคุณสมบัติในการขจัดไขมันและสิ่งสกปรกต่างๆ บนผิว ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว พร้อมเผยผิวใหม่ที่กระจ่างใสมากขึ้น

8.โยเกิร์ต
โยเกิร์ตสูตรธรรมชาติอุดมไปด้วยแลคโตบาซิลลัส กรดแลคติก และวิตามินหลากหลายชนิด ที่จะช่วยทำให้ผิวได้รับความชุ่มชื้นพร้อมทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

9.น้ำนม
น้ำนมจะอุดมไปด้วยแคลเซียมและคอลลาเจน เมื่อนำมาสครับผิวหรือพอกหน้าจะทำให้กรดแลคติกซึมซาบลงสู่ผิว จึงทำให้ผิวกระจ่างใส เนียนนุ่ม และลดความหยาบกร้านได้เป็นอย่างดี
ขอบคุณsanook

ครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ครีมหน้าเด็ก ครีมหน้าเงา สิว ฝ้า กระ ไวท์บูสเตอร์ของเพอร์เฟ็กต้า ไวท์บูสเตอร์ เพอร์เฟ็กต้า

-------------------------------------------------------------------------------------
 
6 สูตรกากกาแฟ เสกความสวยแบบครบสูตร

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากาแฟเป็นสิ่งที่หลายคนขาดไม่ได้ แค่วันไหนไม่ได้กินก็รู้สึกง่วงนอน ไม่กระปรี้กระเปร่าถึงขั้นทำงานไม่ได้เลยทีเดียว แต่สาว ๆ รู้หรือไม่ว่านอกจากกาแฟจะช่วยให้เราตื่นตัวแล้ว กากกาแฟที่เหลือใช้ยังสามารถนำมาทำประโยชน์ได้อีกสารพัด ไม่ว่าจะเป็นสครับขัดผิวสวย หมักผม รวมถึงมาสก์ใต้ตาช่วยลดความคล้ำก็ได้อีกด้วย เมื่อรู้แบบนี้แล้วเวลาชงกาแฟเสร็จอย่าเผลอทิ้งกากกาแฟกันเชียวล่ะ เพราะวันนี้กระปุกดอทคอมมีสูตรทำสวยตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยกากกาแฟมาฝากกัน บอกเลยว่าแต่ละสูตรทำไม่ยาก แถมอุปกรณ์ก็หาง่าย ถ้าพร้อมแล้วมาดูกันเลย !

1. สูตรหมักผมเพิ่มความแข็งแรง
กากกาแฟมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไปจากหนังศีรษะ และป้องกันการหลุดร่วงพร้อมช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับเส้นผม โดยเริ่มจากนำน้ำอุ่น 1 ถ้วยมาผสมกับกากกาแฟ 5 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันแล้วเทลงในแชมพูสระผม จากนั้นเขย่าให้เข้ากัน จึงนำมาสระผมตามปกติโดยนวดหนังศีรษะเบา ๆ เป็นวงกลม ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด แนะนำให้ทำสูตรนี้ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์

2. สูตรมาสก์ใต้ตาลดรอยคล้ำ
ในวันที่นอนน้อยจนทำให้สาว ๆ ตาบวมปูดหรือขอบตาคล้ำเป็นหมีแพนด้า ลองนำกากกาแฟที่มีอยู่ไปแช่ในช่องฟรีซประมาณ 2-3 ชั่วโมง จากนั้นนำมาทาบริเวณใต้ดวงตาทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด คาเฟอีนในกากกาแฟจะช่วยลดการอักเสบและรอยคล้ำบริเวณรอบดวงตา ซึ่งใครที่เป็นภูมิแพ้แล้วขอบตาคล้ำก็สามารถใช้สูตรนี้ได้เช่นเดียวกัน โดยแนะนำให้ทำ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์

3. สูตรสครับริมฝีปากนุ่มชุ่มชื้น
นอกจากการดื่มน้ำให้เพียงพอและทาลิปบาล์มเพื่อบำรุงแล้ว อีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้ริมฝีปากของสาว ๆ ชุ่มชื้นและสุขภาพดีนั่นคือการสครับริมฝีปากเพื่อให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วหลุดออก ด้วยวิธีง่าย ๆ เริ่มจากนำกากกาแฟ 1 ช้อนชา ผสมกับน้ำมันมะกอก 2 ช้อนชา โดยสามารถเปลี่ยนเป็นน้ำมันมะพร้าวหรือวาสลีนก็ได้ไม่ว่ากัน จากนั้นนำมาลูบไล้ให้ทั่วริมฝีปากโดยใช้นิ้วนวดเบา ๆ เป็นวงกลม แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด สูตรนี้นอกจากจะทำให้ริมฝีปากนุ่มชุ่มชื้นแล้ว ยังช่วยให้ลิปสติกติดทน ไม่ลอกเป็นคราบระหว่างวันด้วย โดยแนะนำให้ทำอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์

4. สูตรมาสก์หน้าเพื่อผิวกระชับและกระจ่างใส
สูตร 2in1 ช่วยให้ผิวหน้ากระชับ ลดริ้วรอย และกระจ่างใสในขั้นตอนเดียว เริ่มจากนำกากกาแฟ โยเกิร์ต และน้ำผึ้ง อย่างละ 1 ช้อนโต๊ะมาผสมให้เข้ากัน จากนั้นทาลงบนใบหน้าโดยระวังอย่าให้เข้าตา มาสก์ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดด้วยการนวดเบา ๆ เป็นวงกลม 1-2 นาทีเพื่อเป็นการสครับผิวไปในตัว แนะนำให้ทำสูตรนี้ 2 ครั้งต่อสัปดาห์

5. สูตรขัดผิวเนียนนุ่มน่าสัมผัส
สำหรับใครที่กำลังตามหาสูตรสครับขัดผิวอยู่ละก็ รวมกันตรงนี้เลย เริ่มจากนำกากกาแฟ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำตาลทรายและน้ำมันมะกอกอย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน แล้วนำมาขัดผิวเบา ๆ เป็นวงกลมทิ้งไว้ 2-3 นาที จึงอาบน้ำตามปกติ ทำอย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพียงเท่านี้สาว ๆ ก็จะมีผิวเนียนกระชับและนุ่มชุ่มชื้นน่าสัมผัสแล้ว

6. สูตรสครับเท้าผลัดเซลล์ผิวเก่าและกำจัดแบคทีเรีย
ปิดท้ายด้วยสครับเท้าที่ไม่เพียงช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออกเท่านั้น ยังช่วยกำจัดสิ่งสกปรกและเชื้อแบคทีเรียได้อีกด้วย โดยนำกล้วยสุก 1 ลูกมาบดแล้วผสมกับกากกาแฟ ¼ ถ้วย น้ำมันมะกอก ¼ ถ้วย และเกลือ ½ ถ้วย คนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน จากนั้นทาให้ทั่วฝ่าเท้าโดยนวดเบา ๆ ประมาณ 15 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น แนะนำให้ทำสูตรนี้อย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์
ขอบคุณkapook

ครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ครีมหน้าเด็ก ครีมหน้าเงา สิว ฝ้า กระ ไวท์บูสเตอร์ของเพอร์เฟ็กต้า ไวท์บูสเตอร์ เพอร์เฟ็กต้า

-------------------------------------------------------------------------------------
 
 
3 ทิปส์ง่ายๆ กู้ ข้อนิ้วด้านดำ พร้อมบำรุงมือสวย ให้เนียนนุ่มน่าจับ

แม้หน้าจะสวยเป๊ะ จนหนุ่มๆ หลง แต่ถ้าข้อนิ้วด้านดำ หยาบกร้าน ไม่น่าสัมผัส งานนี้น่ารักแค่ไหนก็มีสิทธิ์นก เพราะงั้น นอกจากการบำรุงฝ่ามือและหลังมือแล้ว เพื่อความสวยเนี้ยบยิ่งขึ้น สาวๆ ต้องบำรุงข้อนิ้วมือแถมไปด้วยนะจ๊ะ แค่ 3 ขั้นตอนง่ายๆ ตามนี้เองค่ะ

1.สครับสิ
เวลาขัดผิวก็อย่าลืมแบ่งมาขัดตามข้อนิ้วบ้าง หรือถ้าอยากเห็นผลไวๆ ตักเกลือมาสัก 2 ช้อนโต๊ะ บีบน้ำมะนาวลงไปสักเล็กน้อย ขัดๆ ถูๆ ตามมือ นิ้ว ซอกเล็บ พอล้างออกด้วยน้ำเปล่าจะเห็นเลยว่า เซลล์ผิวเก่าและคราบสกปรกหลุดออกไปทันทีเลยจ้า

2.เติมความชุ่มชื่น
หลายคนละเลยกับแฮนด์ครีม พอรู้ตัวอีกทีก็มือแห้งกร้านแล้ว แนะว่าควรมีแฮนด์ครีมติดกระเป๋าไว้เลยจ้า โดยควรเลือกครีมทามือที่มีส่วนผสมของมอยสเจอไรเซอร์เข้มข้น เน้นที่บริเวณข้อนิ้ว หรือถ้าอยากประหยัดงบก็สามารถใช้น้ำมันมะพร้าว อัลมอนด์ออยล์แทนได้

3.ปิดท้ายด้วยทรีตเมนต์
ต้มข้าวโอ๊ตสัก 2 กำมือ หยดน้ำผึ้งลงไปสัก 2 ช้อนชา คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้พออุ่นๆ แล้วนำมาพอกที่มือทั้งสองข้าง นวดวนๆ ไป ทั้งฝ่ามือ หลังฝ่ามือ และตามข้อนิ้วสัก 5 นาที แล้วทิ้งไว้อีก 10 นาที ก่อนล้างออกด้วยน้ำเปล่า
ขอบคุณmthai
 
ครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ครีมหน้าเด็ก ครีมหน้าเงา สิว ฝ้า กระ ไวท์บูสเตอร์ของเพอร์เฟ็กต้า ไวท์บูสเตอร์ เพอร์เฟ็กต้า

-------------------------------------------------------------------------------------
 
 
ผิวสวยนุ่มเนียนดั่งผิวเด็กด้วย 5 วิธีช่วยผิวสุขภาพดีจนใครๆ ก็หลงเสน่ห์

ความสวยของผิวพรรณไม่ใช่แค่เพียงความขาวใสเท่านั้น แต่ความนุ่มและเรียบเนียนดั่งผิวเด็กก็คือ หนึ่งในคุณสมบัติของผิวสุขภาพดีด้วยเช่นเดียวกัน แต่ด้วยมลภาวะ ฝุ่น และแสงแดดที่ร้อนแรงมากขึ้นทุกวัน จึงทำให้ผิวถูกทำร้ายหนักขึ้นและล้ำลึกกว่าเดิม ผิวจึงเกิดความหยาบกร้าน ความนุ่มเนียนของผิวขาดหายไป ดังนั้นลองมาดู 5 วิธีที่จะช่วยทำให้ผิวสุขภาพดีแบบยั่งยืนดังต่อไปนี้กันดีกว่าค่ะ

1.ดื่มน้ำเสมอ
การดื่มน้ำจะเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ผิวสดชื่นและดูอิ่มน้ำมากยิ่งขึ้น ดื่มน้ำสะอาดเพียงแค่วันละ 8-10 แก้ว จะช่วยฟื้นฟูผิวที่แห้งกร้านให้กลับมาสดชื่นได้อย่างรวดเร็ว พร้อมการรักษาความชุ่มชื้นไว้ในผิวได้ตลอดเวลาและยังช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกภายในอวัยวะต่างๆ แล้วขับออกมาตามการขับถ่ายปกติได้อีกด้วย

2.อาหารต้องมีประโยชน์
ถ้าต้องการรับประทานอาหารเพื่อผิวสวย ควรรับประทานอย่างมีประโยชน์ เน้นอาหารที่มีทั้งโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ และสารอาหารต่างๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายเท่านั้น หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมัน แป้ง และน้ำตาลสูง เพราะแป้งกับน้ำตาลจะเป็นตัวทำให้ผิวพรรณเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็วและยังทำให้สุขภาพแย่ลงอีกด้วย

3.ขัดผิวทุกสัปดาห์
การสครับผิวด้วยกากกาแฟ ใบชาเขียว หรือสครับแบบเม็ดละเอียด ที่ขัดเบาๆ เพียงสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง จะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่มีความหยาบกร้านจนหมดแล้วกำเนิดผิวใหม่ที่เนียนนุ่มมากกว่าเดิม ซึ่งถ้าคุณต้องการทำให้ผิวเนียนนุ่มของคุณ ยังคงความอ่อนเยาว์ ให้เพิ่มการทาครีมบำรุงผิวหลังการสครับและซับผิวทันที หลีกเลี่ยงสครับเม็ดหยาบเพราะอาจทำให้ผิวเกิดการอักเสบได้

4.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายนอกจากจะช่วยกระชับผิวมากขึ้นแล้ว ยังช่วยลดเซลลูไลท์ที่เกาะตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดี ลดผิวเปลือกส้มและผิวที่ขรุขระ พร้อมทำให้ผิวเนียนนุ่มอย่างเป็นธรรมชาติอีกด้วย

5.ทำซาวน่าสัปดาห์ละครั้ง
การทำซาวน่าหรืออบซาวน่าตัวสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะเป็นตัวช่วยดีท็อกซ์ทั้งผิวและร่างกาย พร้อมช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดให้ทำงานได้ดีขึ้นกว่าเดิม จึงทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่ง ลดความหยาบกร้านและทำให้คุณรู้สึกสดชื่นมากขึ้นอีกด้วย
ขอบคุณkapook

ครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ครีมหน้าเด็ก ครีมหน้าเงา สิว ฝ้า กระ ไวท์บูสเตอร์ของเพอร์เฟ็กต้า ไวท์บูสเตอร์ เพอร์เฟ็กต้า

-------------------------------------------------------------------------------------
วิธีรักษาสิวหัวหนอง

แม้ว่าปัญหาสิวของสาว ๆ จะมีอยู่หลายชนิดแตกต่างกันไป ทั้ง สิวหัวช้าง สิวผด สิวเสี้ยน สิวที่คอ แต่สิวที่กวนใจเพราะดูเด่นชัดมากที่สุดคงไม่พ้นสิวหัวหนอง เพราะสิวชนิดนี้มีลักษณะเป็นตุ่มสีขาวขุ่น ใช้แป้งหรือเครื่องสำอางตัวไหนมากลบก็ไม่มิด มีเพียงทางเดียวที่ช่วยได้คือ ต้องหา วิธีรักษาสิวหัวหนอง เท่านั้น ถึงจะลดความเด่นของสิวเม็ดนั้นออกไปจากใบหน้าเราได้

1.ใช้สมุนไพรพอกตรงจุดที่เกิดสิว
ลองหาผงสมุนไพรตามร้านสะดวกซื้อ หรือใครถนัดผสมเองก็ลองนำเอา ผงทานาคา ผงขมิ้น และผงไพร มาผสมรวมกันอย่างละครึ่งช้อนชา ผสมน้ำเล็กน้อยพอเป็นครีมข้น จากนั้นก็เอามาพอกตรงสิวหัวหนองข้ามคืน สมุนไพรเหล่านี้จะช่วยดูดซับสิ่งสกปรกและขจัดแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว เพียงเท่านี้สิวหัวหนองก็จะยุบลงได้แล้ว

2.ใช้แผ่นดูดสิวช่วยซับสิวหัวหนอง
แผ่นดูดสิวแผ่นเล็ก ๆ มักมีส่วนผสมของไฮโดรคอลลอยด์ ซึ่งสารนี้จะเข้าไปดูดซับของเหลวได้เป็นอย่างดี พอเอามาแปะบนสิวหัวหนองไว้ข้ามคืนก็จะดูดสิวจนยุบเกลี้ยง แล้วถ้าปิดต่อไว้อีกสัก 1 วัน ก็ยังช่วยป้องกันไม่ให้ผิวโดนฝุ่นละออง หรือแบคทีเรียที่เข้ามาทำลายแผลสิวได้ด้วย

3.ใช้ครีมหรือเจลผลัดเซลล์ผิว
ใช้ครีมหรือเจลที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก ความเข้มข้นตั้งแต่ 0.5-2 เปอร์เซ็นต์ ทาลงบริเวณที่เกิดสิวหัวหนองเป็นประจำทุกวัน วันละ 3 ครั้ง จะช่วยผลัดเซลล์ผิวและลอกสิวออกไปได้ อีกทั้งยังช่วยลดความมันบนผิวลง รูขุมขนจึงกระชับ เมื่อใช้อย่างต่อเนื่องแผลเป็นจากสิวก็จะจางลงอีกด้วย

4.สิวหัวหนอง ควรกดไหม ทำอย่างไรให้ถูกวิธี
สิวหัวหนองที่อยู่บนหน้านานเกินไปไม่ยอมยุบสักที สามารถกดได้โดยใช้แท่งกดสิวกับเข็มสะกิดหัวสิว ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ต้องผ่านการล้างและเช็ดด้วยแอลกอฮอล์มาอย่างดีแล้ว ขั้นตอนคือให้ใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดลงหัวสิวที่ต้องการกด ต่อมาใช้ปลายเข็มสะกิดอย่างเบามือลงบนหัวสิว แล้วใช้แท่งกดหัวสิวกดลงไปตรงหัวสิวจนกว่าหนองจะไหลออกมาหมด แนะนำว่าควรทำทุกขั้นตอนอย่างเบามือที่สุดเพื่อให้แผลไม่กินบริเวณกว้างและช้ำเกินไป ปิดท้ายด้วยการเช็ดแผลให้สะอาด และพยายามเลี่ยงเครื่องสำอางชนิดฝุ่นจนกว่ารอยสิวจะแห้ง แต่หากใครไม่สะดวกกดสิวเองก็ให้แพทย์ผิวหนังตามคลินิกช่วยกดสิวได้เช่นกัน

5.ปรับระดับฮอร์โมน
ขั้นตอนการรักษาสิวนี้คงต้องพึ่งพาคุณหมอให้ช่วยอีกแรง โดยลองไปปรึกษากับหมอเรื่องฮอร์โมน ตรวจเช็กระดับฮอร์โมนว่าอยู่ในเกณฑ์ไหน ควรเสริมแบบยากินหรือยาฉีดเข้าไป เพียงเท่านี้ปัญหาสิวหัวหนองที่เกิดจากฮอร์โมนก็จะลดลงแล้ว
ขอบคุณkapook

ครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ครีมหน้าเด็ก ครีมหน้าเงา สิว ฝ้า กระ ไวท์บูสเตอร์ของเพอร์เฟ็กต้า ไวท์บูสเตอร์ เพอร์เฟ็กต้า

-------------------------------------------------------------------------------------
 
 
มาส์กหน้าด้วย น้ำมันมะพร้าว ตื่นมาหน้าใสวิ้ง พร้อมเดทแน่นอน

จะออกเดทกับผู้ชายทั้งที ปล่อยให้หน้าหมองคล้ำก็ดูจะเป็นผู้หญิงไม่ดูแลตัวเอง เพราะฉะนั้น เราอย่าให้ใครมาว่าเอาได้ หันซ้ายหันขวาสำรวจในบ้านดูก่อนค่ะ มี น้ำมันมะพร้าว แบบสกัดเย็นบ้างไหม ? ถ้าไม่มีไปหาซื้อมาด่วนๆ เลย เพราะสิ่งนี้แหละ ที่จะพาหน้าของคุณสาวๆ ไปใสวิ้งให้หนุ่มๆ จ้องไม่วางสายตา

เริ่มจากล้างหน้า เช็ดเครื่องสำอางให้เรียบร้อย แล้วค่อยๆ ลูบน้ำมันมะพร้าวให้ทั่วใบหน้า เก็บผมให้เรียบร้อยนะคะ เดี๋ยวจะไม่สะดวกเวลาทาหน้า หลังจากนั้นอย่าเพิ่งรีบนอน ทิ้งไว้ให้อยู่ตัวสักพัก แล้วนอนได้ ตื่นมาก็เตรียมหน้านุ่ม หน้าใส หน้าเด้งกันได้เลย
ขอบคุณ mthai

ครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ครีมหน้าเด็ก ครีมหน้าเงา สิว ฝ้า กระ ไวท์บูสเตอร์ของเพอร์เฟ็กต้า ไวท์บูสเตอร์ เพอร์เฟ็กต้า

-------------------------------------------------------------------------------------
 
 
5 วีธีดูแลผิวหน้ากระชับด้วยตัวเอง กับท่าโยคะง่ายๆ แม้อยู่บ้านก็สวยได้

ในช่วงสถานการณ์ที่หลายคนต้องอยู่แต่ในบ้าน ไม่สามารถออกไปพบปะผู้คนหรือทำงานได้ บางคนตัดสินใจที่จะใช้เวลาในช่วงนี้เพื่อพักผ่อน แต่ยังมีอีกหลายคนที่ไม่สามารถดึงตัวเองออกมาได้และจมอยู่กับความเครียด โดยหนึ่งในความเครียดของสาวๆช่วงนี้ก็คือปัญหาเรื่องความงาม เนื่องด้วยคลินิกความงามไม่สามารถเปิดให้บริการได้ตามนโยบายของรัฐ ทำให้สาวๆ หลายคนกำลังเผชิญกับปัญหาผิวแห้ง ผิวหน้าเริ่มไม่กระชับ หย่อนคล้อย มีริ้วรอย และกังวลว่าเมื่อถึงเวลาที่จะกลับไปใช้ชีวิตปกติผิวหน้าจะไม่พร้อมรับกับสถานการณ์ต่างๆ

1.กระชับหน้าผาก ลดริ้วรอย โดยวางนิ้วมือทั้งสองข้างบนกึ่งกลางหน้าผาก ช่วงคิ้วจนถึงโคนผม จากนั้นค่อยๆลากนิ้วเบาๆจากกึ่งกลางหน้าผากไปด้านข้าง ทำซ้ำอีก 10 รอบ

2.กระชับกรอบหน้าและลดแก้มให้เล็กลง โดยเงยหน้ามองเพดาน จนรู้สึกตึงที่ลำคอ แล้วสูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอด ทำปากจู๋แล้วเป่าลมออกมาจนหมด กลับสู่ท่าเดิมและทำซ้ำเช่นนี้อีก 5 รอบ

3.กระชับใบหน้าและลดร่องแก้ม โดยห่อปากเป็นรูปตัวโอสลับกับการห่อปากให้คล้ายกับการยิ้ม ทำสลับกันไปมา 6 ครั้ง จากนั้นห่อปากท่ายิ้มค้างไว้ ใช้นิ้วกดที่คางแล้วขยับขากรรไกรขึ้น-ลง พร้อมเงยหน้าขึ้นช้าๆ ทำซ้ำอีก 5 รอบ

4.กระชับไขมันช่วงแก้ม ให้หน้าดูเรียวขึ้น โดยดูดแก้มทั้งสองข้างให้ได้มากที่สุด แล้วค้างไว้ 15 วินาที กลับสู่ท่าเดิมและทำซ้ำอีก 5 รอบ

5.กระชับเหนียงใต้คอ ลดคอเหี่ยวย่น โดยวางปลายนิ้วลงบนต้นคอ บริเวณกระดูกไหปลาร้า แล้วเงยหน้าขึ้นให้ได้มากที่สุดแล้วค้างไว้ ยื่นริมฝีปากล่างออกมาคล้าย ๆ กับการเบะปาก ทำค้างไว้ประมาณ 10 วินาที และกลับมาสู่ท่าเดิม ทำซ้ำอีก 5 รอบ
ขอบคุณsanook


ครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ครีมหน้าเด็ก ครีมหน้าเงา สิว ฝ้า กระ ไวท์บูสเตอร์ของเพอร์เฟ็กต้า ไวท์บูสเตอร์ เพอร์เฟ็กต้า

-------------------------------------------------------------------------------------
รูขุมขนกว้างทำไงดี ? จัดการด้วย 7 วิธีนี้สิหน้าเนียนกว่าเดิม !

อีกหนึ่งปัญหากวนใจของสาวไทยเรา ก็คงไม่พ้นปัญหารูขุมขนกว้างแน่นอนเลยล่ะ เพราะอากาศที่ร้อนในประเทศนี้ หรือเพราะกรรมพันธุ์ จึงอาจทำให้เราไม่สามารถเลี่ยงปัญหานี้ไปได้ แต่ถึงรูขุมขนจะกว้างแค่ไหนก็ตาม คุณสาว ๆ ก็สามารถทำให้ดูเล็กกระชับขึ้นได้ ด้วย 7 วิธีที่กระปุกดอทคอมนำมาฝากในวันนี้ รับรองว่าหน้าเนียนขึ้นจริงอะไรจริงจ้า

1.ขัดผิวสม่ำเสมอ
รู้ไหมว่าอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รูขุมขนเบิกบานอยู่บนหน้าคุณสาว ๆ น่ะ ก็เป็นเพราะปล่อยให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วและสิ่งสกปรกอุดตันอยู่ในนั้น ซึ่งนี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวด้วยล่ะ ฉะนั้นต้องมาขัดผิวกันหน่อยเพื่อให้รูขุมขนสะอาดด้วยสครับที่ใช้เป็นประจำขัดสัก 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ก็พอแล้ว

2.ล้างหน้าให้สะอาดหมดจด
รู้ไว้เถอะว่าการล้างหน้าให้สะอาดหมดจดทุกวันจะช่วยให้รูขุมขนดูเล็กลงได้ด้วย ซึ่งไม่ว่าคุณจะแต่งหน้าหรือไม่ก็ตาม ยังไงซะก็ควรใช้คลีนเซอร์ดี ๆ ที่ทำความสะอาดได้หมดจด หรือจะใช้แปรงล้างหน้าเข้าช่วยด้วยก็จะยิ่งดีใหญ่ งานนี้จะได้ทั้งรูขุมขนเล็กและได้ผิวที่สุขภาพดีด้วยนะ

3.โบกครึมกันแดดทุกวัน
ถ้าไม่เคยปกป้องผิวด้วยการทาครีมกันแดดเลย ก็ไม่ต้องสงสัยนะจ๊ะว่าทำไมรูขุมขนของคุณถึงกว้างได้มากขนาดนั้น เพราะการที่ผิวโดนรังสียูวีเอและยูวีบีจะทำให้การสร้างเซลล์ใหม่ก็จะช้าลงซึ่งจะทำให้หน้าดูหมองมาก แถมยังทำให้ผิวหนาขึ้นและแน่นอนว่ารูขุมขนจะดูกว้างขึ้นด้วย

4.ใช้โทนเนอร์
ใครที่ไม่เคยเหลียวมองความสำคัญของโทนเนอร์เลย คงต้องคิดใหม่แล้วหยิบมาใช้ซะแล้วล่ะ เพราะการใช้โทนเนอร์จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่อุดตันในรูขุมขนที่ล้างไม่หมดออกไปเกลี้ยงเกลา จึงทำให้รูขุมขนสะอาดและดูเล็กกระชับขึ้น

5.ใช้ไอน้ำทะลายสิ่งสกปรก
วิธีนี้แหละที่ทั้งทำง่ายและช่วยให้รูขุมขนสะอาดกระชับขึ้นได้ เพราะเมื่อไอน้ำมาโดนหน้าจะช่วยให้รูขุมขนเปิด พวกสิ่งสกปรกและน้ำมันที่อุดตันตกค้างในรูขุมขนก็จะถูกขับออก ซึ่งจะทำให้ผิวดูสดใสและสดชื่นขึ้น รวมถึงรูขุมขนก็จะสะอาดและดูเล็กลงด้วยล่ะ แต่หลังจากใช้ไอน้ำเปิดรูขุมขน 10-15 นาทีแล้ว ก็อย่าลืมปิดรูขุมขนด้วยการใช้น้ำเย็นล้างหน้าทันทีด้วยนะคะ

6.เลือกสกินแคร์ที่ใช่
สาว ๆ ที่รูขุมขนกว้างต้องใส่ใจในการเลือกสกินแคร์กันหน่อยนะคะ โดยอาจจะเลือกสกินแคร์ที่ดูแลตรงจุดในเรื่องของการกระชับรูขุมขนโดยเฉพาะ หรือจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอลก็ช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็กลงได้เช่นกัน

7.ล้างหน้าด้วยน้ำเย็น
ใครติดการล้างหน้าด้วยน้ำร้อนให้เลิกซะเถอะ เพราะนอกจากจะทำให้หน้ากร้านไม่มีชีวิตชีวาแล้ว ยังทำให้รูขุมขนดูกว้างขึ้นอีกด้วย ทางที่ดีให้ล้างด้วยน้ำเย็น หรือจะล้างด้วยน้ำอุ่น ๆ ที่ไม่ร้อนจัดก็ได้ และเวลาเช็ดหน้าก็อย่าถูแรง ๆ นะจ๊ะ ให้ซับเบา ๆ แบบถนอมผิวหน้าหน่อยก็พอแล้ว
ขอบคุณ kapook
 
ครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ครีมหน้าเด็ก ครีมหน้าเงา สิว ฝ้า กระ ไวท์บูสเตอร์ของเพอร์เฟ็กต้า ไวท์บูสเตอร์ เพอร์เฟ็กต้า

-------------------------------------------------------------------------------------
 
 
5 วิธีกำจัดผิวเปลือกส้มที่ต้นขา เนรมิตเรียวขาสวยเนียนจนคุณมั่นใจ

ผิวเปลือกส้มคือผิวที่มีลักษณะเป็นลูกคลื่นด้านหลังของต้นขา โดยมีความคล้ายผิวของเปลือกส้มที่ไม่เรียบเนียน ดูขรุขระ หยาบกร้าน และเป็นคลื่น ถือว่าเป็นหนึ่งในปัญหากวนใจของผู้หญิงหลายๆ คน เพราะเมื่อต้องสวมใส่กางเกงหรือกระโปรงขาสั้น รวมไปถึงชุดว่ายน้ำ อาจจะทำให้รู้สึกต้องอับอายกับขาที่ไม่เรียวสวยและมีผิวที่ไม่เรียบเนียน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางแก้ไข วันนี้จึงขอแนะนำ 5 วิธีขจัดผิวเปลือกส้มที่ต้นขา เพิ่มความเรียวสวยให้สาวๆ กล้าที่จะใส่ขาสั้นได้อย่างมั่นใจอีกครั้งค่ะ

1.เลี่ยงอาหารไขมันสูง
ถ้าไม่อยากมีผิวเปลือกส้มที่ต้นขา สาวๆ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะอาหารที่มีทั้งไขมัน แป้ง และน้ำตาลที่จะแปรเปลี่ยนกลายมาเป็นไขมันเกาะตามต้นขาและหน้าท้องเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงควรรับประทานอาหารที่เน้นเรื่องไฟเบอร์ แร่ธาตุ และวิตามินที่จะเป็นตัวช่วยสำคัญในการขจัดไขมันเสียที่เกาะอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย พร้อมรับประทานเป็นผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์แบบไร้ไขมัน และธัญพืชต่างๆ ที่จะเป็นตัวช่วยทำให้เซลลูไลท์ที่เป็นต้นเหตุของผิวเปลือกส้มลดลง

2.ขัดผิวต้นขาด้วยสครับ
การสครับผิวหน้าท้องและต้นขาจะเป็นการกระตุ้นให้ระบบเลือดไหลเวียนดีมากขึ้น พร้อมเป็นการทำให้ไขมันที่เกาะอยู่ตามบริเวณต่างๆ กระจายตัวออกได้ง่ายกว่าเดิมและขับออกมาทางระบบขับถ่ายตามปกติของร่างกาย ดังนั้นการสครับผิวในช่วงอาบน้ำจึงถือว่าเป็นตัวช่วยลดผิวเปลือกส้มได้เป็นอย่างดี

3.บำรุงผิวส่วนต้นขา
เมื่อคุณทำการสครับผิวตามส่วนต่างๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นให้คุณบำรุงและดูแลผิวในส่วนที่สครับผิวให้มีความชุ่มชื้น เพื่อลดผิวเปลือกส้มได้เร็วมากยิ่งขึ้น เน้นครีมบำรุงผิวที่มีมอยเจอร์ไรเซอร์และสามารถนวดกระตุ้นให้ตรงจุดที่มีไขมันเกาะเป็นจำนวนมาก จึงเกิดการไหลเวียนของระบบเลือดและเกิดการเผาผลาญไขมันเฉพาะจุดได้ดีขึ้นกว่าเดิม ทั้งยังทำให้ผิวเรียบเนียนสวยและสีผิวสม่ำเสมอกันอีกด้วย

4.ออกกำลังกายกระชับสัดส่วน
เน้นออกกำลังกายให้กระชับเฉพาะสัดส่วนเท่านั้น ถ้ามีผิวเปลือกส้มที่หลังต้นขาให้คุณเน้นกระชับต้นขาด้วยท่าแบบเวทเทรนนิ่ง เพื่อทำให้ทั้งผิวเปลือกส้มลดลงอย่างรวดเร็วและยังได้ส่วนของต้นขาที่เรียวสวยมากกว่าเดิม

5.จัดท่าทางให้ถูกต้อง
การเคลื่อนไหวตัวหรือท่าทางต่างๆ ที่คุณทำในชีวิตประจำวัน คุณควรใส่ใจให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การนั่ง หรือแม้กระทั่งการนอนก็ควรทำให้ถูกต้องและถูกวิธี คุณไม่ควรนั่งอยู่กับเก้าอี้ทำงานไปตลอดทั้งวัน แต่ควรมีการขยับเคลื่อนไหวตัว ลุกขึ้นเดิน หรือมีการออกกำลังกายเบาๆ แบบท่าออฟฟิศซินโดรม เพื่อช่วยทำให้ร่างกายได้เผาผลาญพลังงานมากขึ้น ที่สำคัญคือควรปรับเปลี่ยนจากการนั่งรถไปทำงานในระยะใกล้ให้กลายเป็นการเดินไปทำงานแทน หรือการเดินขึ้น-ลงบันไดแทนการขึ้นลิฟท์ เพื่อทำให้ร่างกายได้เกิดการเผาผลาญเซลลูไลท์มากขึ้น
ขอบคุณsanook

ครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ครีมหน้าเด็ก ครีมหน้าเงา สิว ฝ้า กระ ไวท์บูสเตอร์ของเพอร์เฟ็กต้า ไวท์บูสเตอร์ เพอร์เฟ็กต้า

-------------------------------------------------------------------------------------
 
ทำไมส่องกระจก แล้วสวยกว่าตัวจริง?! เรื่องนี้นักวิทยาศาสตร์มีคำตอบ

เคยรู้สึกแปลกใจไหมว่าทำไมตัวเราในกระจกกับนอกกระจกถึงดูแตกต่างกัน มันเป็นความรู้สึกที่คิดไปเองหรือไม่ แน่นอนไม่ใช่คุณคนเดียวที่คิดแบบนี้ และวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายเรื่องดังกล่าวได้

1.กระจกสะท้อนภาพที่กลับด้านของเรา
สิ่งที่เราเห็นในกระจกไม่ใช่ความจริง! สิ่งที่สะท้อนในกระจกคือเวอร์ชั่นของคุณที่กลับด้านจากความเป็นจริง และเมื่อเราส่องกระจกทุกวัน เราจะเคยชินกับด้านที่กลับข้างของเราจนมันมีผลที่ทำให้เราเคยชิน

2.การควบคุมเมื่อแรกเห็น
เมื่อเราส่องกระจก เราจะควบคุมท่าทางได้ในทันทีและทำได้อย่างเต็มที่ ถ้าเราไม่ชอบมุมที่ปรากฎในกระจก เราสามารถเปลี่ยนมุม เพื่อให้เราดูดีได้จากภาพที่เห็นจนทำให้เราพึงพอใจในภาพสะท้อนที่ปรากฎ แต่เมื่อถ่ายภาพเราจะไม่สามารถเห็นมันได้จนกว่าจะถ่ายเสร็จไงล่ะ ความเป๊ะมันต่างกันตรงนี้!

3.การจัดแสง
สมองของเรามักทำงานเพื่อตอบสนองกับแสงโดยที่เราไม่ได้คิดว่ามันมีความแตกต่างของแสงเมื่อเราอยู่หน้ากระจก นั้นเพราะสมองของเราแสดงภาพที่เห็นโดยอัตโนมัติ โดยการปรับสายตาให้เข้ากับภาพที่เห็น ซึ่งแตกต่างจากกล้องถ่ายภาพที่ไม่ได้ทำงานเช่นนั้น

4.ใบหน้าของเราไม่สมมาตร
ไม่มีใครที่มีใบหน้าที่ได้สัดส่วนสมมาตรสมบูรณ์แบบ ถ้าไม่เชื่อลองผลิกหน้าครึ่งหนึ่งของคุณมาทับซ้อนกันดู มันจะแสดงความแตกต่างออกมาอย่างชัดเจน เราคุ้นเคยกับหน้าของตัวเองในมุมไม่กี่มุมเท่านั้น และเรามักคิดว่าหน้าของเราทั้งสองส่วนเหมือนกัน ซึ่งมันเป็นเหตุผลที่ทำให้เราดูเป็นคนละคนเมื่อถ่ายภาพ

5.สิ่งรอบตัวทำให้เรารู้สึกกดดัน
นักวิจัยอธิบายเรื่องดังกล่าวว่า เรามักมองในกระจกเมื่ออยู่ที่บ้านหรือในสถานที่ปลอดภัยจริงมั้ย แต่สำหรับการถ่ายภาพบางครั้ง เราอาจจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย จจึงรู้สึกเครียดหรืออึดอัดในการโพสต์บ้าง ทำให้รูปที่ออกมาไม่เหมือนกับตัวเองเวลาส่องกระจกนั่นเอง

6.เราเห็นรายละเอียดส่วนหนึ่งในกระจกเท่านั้น
กระจกเพียงแสดงบางส่วนของตัวเรา เช่น เราทาลิปสติกเราก็จะมองไปที่ปากเท่านั้น เราสนใจแค่ส่วนที่สำคัญเช่นตา จมูกหรือทรงผม และเราไม่ได้มองภาพรวมที่เกิดขึ้นในกระจก บวกกับลึกๆ พื้นฐานคนเราก็ชอบคิดไปเองว่าตัวเองดูดีกว่าสิ่งที่พวกเขาเป็น เราจึงรู้สึกแฺฮปปี้กับรูปร่างหน้าตาในกระจกของตัวเองยังไงล่ะ
ขอบคุณ mthai
 
ครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ครีมหน้าเด็ก ครีมหน้าเงา สิว ฝ้า กระ ไวท์บูสเตอร์ของเพอร์เฟ็กต้า ไวท์บูสเตอร์ เพอร์เฟ็กต้า

-------------------------------------------------------------------------------------
 
 
8 วิธี เพื่อสุขภาพผิวเปล่งปลั่ง

ใคร ๆ ก็ปรารถนาที่จะมีสุขภาพผิวที่ดี ไม่ว่าหญิงสาวหรือชายหนุ่ม แม้แต่วัยสูงอายุ ก็ยังอยากจะมีผิวพรรณที่เปล่งปลั่ง มีน้ำ มีนวล ซึ่งจะต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ จึงจะมีผิวสวยใสและเนียนนุ่มน่าสัมผัส

วันนี้เราลองมาดูวิธีรักษาสุขภาพผิว ทั้งผิวหน้าและผิวกาย ทำอย่างไรจึงไม่หมองคล้ำ และมีวิธีป้องกันอย่างไรที่จะทำให้ผิวของเรายังคงเปล่งปลั่งสดชื่นอยู่ โดยไม่ให้ริ้วรอยมากล้ำกลาย แม้จะผ่านวัยไปจนถึงเลข 4 และเลข 5 แล้วก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับการดูแลเอาใจใส่ผิวที่ดีอย่างสม่ำเสมอ ตามขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้ค่ะ

1. การเลือกรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ และต้องมีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะในเรื่องของการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ดังนั้น เราจึงควรเลือกรับประทานผลไม้สดที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบอรี ทับทิม ส้มโอ อโวคาโด ฯลฯ

2. หลีกเลี่ยงความเครียดต่าง ๆ ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผิวพรรณของเราเกิดริ้วรอย จากการขมวดคิ้ว มิหนำซ้ำยังเกิดรอยตีนกา รอยยับ รอยย่นบนใบหน้าตามมาเป็นขบวน ซึ่งริ้วรอยต่าง ๆ เกิดจากสาเหตุทางอ้อมที่มาจากความเครียด ทำให้ระดับฮอร์โมนลดลง ทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำอย่างเห็นได้ชัด

3. ดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่มากพอ เพราะร่างกายของคนเราประกอบไปด้วยน้ำถึง 70% ในแต่ละวันเราจะสูญเสียน้ำผ่านการปัสสาวะ และทางเหงื่อ ดังนั้น จึงควรดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ อย่างน้อย 2 ลิตร/วัน เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จะช่วยรักษาความชุ่มชื่นของผิวหนังได้เป็นอย่างดี

4. งดการใช้ยาและสารเคมีต่าง ๆ รวมทั้งการสูบบุหรี่ และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อีกด้วย สิ่งเหล่านี้จะมีผลต่อสุขภาพผิวของเราโดยตรง จะทำให้ผิวพรรณเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันสมควร

5. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมต่าง ๆ ที่จะสร้างริ้วรอยบนผิวหน้า อย่างเช่น บางคนชอบหัวเราะตาหยี ก็จะมีผลต่อสุขภาพผิว ทำให้เกิดรอยตีนกาได้ หรือพฤติกรรมการนอน หลาย ๆ คนชอบนอนทับหน้าข้างใดข้างหนึ่ง หรือนอนคว่ำ ทำให้ผิวหน้าส่วนที่ถูกกดทับเกิดริ้วรอยฝังลึกโดยง่าย แม้แต่การตากแดดเป็นเวลานาน ๆ โดยไม่มีสิ่งป้องกัน ก็จะทำให้ผิวหน้า และผิวส่วนที่ถูกแดด เกิดเป็นฝ้า กระ และริ้วรอยต่าง ๆ ตามมา เนื่องจากแสงแดดจะทำลายความชุ่มชื่นของผิวหนัง จนเกิดผิวเสื่อมสภาพ ขาดความยืดหยุ่น และกลายเป็นผิวหมองคล้ำ ไม่น่าดู

6. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอกจากจะทำให้สุขภาพแข็งแรงแล้ว สุขภาพผิวยังได้รับการฟื้นฟูไปพร้อม ๆ กันอีกด้วย การออกกำลังกายนี้ ไม่จำเป็นจะต้องไปออกกำลังกายที่สถานฟิตเนส แต่เป็นการออกกำลังกายเบา ๆ ที่บ้าน ใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ก็จะมีสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

7. การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ โดยทั่วไป สำหรับผู้ที่มีสุขภาพดี มักจะเข้านอนในช่วงเวลาประมาณสี่ทุ่ม เพราะเป็นเวลาที่ร่างกายต้องการการพักผ่อน หลังจากที่ใช้พลังงานไปตลอดทั้งวันแล้ว

8. การอาบน้ำให้สะอาดก่อนเข้านอน จะช่วยให้ร่างกายเกิดความสบาย รวมไปถึงจิตใจที่สดชื่น จะทำให้นอนหลับได้เป็นเวลายาวนานติดต่อกันตลอดทั้งคืน ตื่นขึ้นมาทุกเช้า ก็จะพบว่าเรามีใบหน้าที่เปล่งปลั่ง สดใส จากการที่ได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอนั่นเอง
ขอบคุณkapook
 
ครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ครีมหน้าเด็ก ครีมหน้าเงา สิว ฝ้า กระ ไวท์บูสเตอร์ของเพอร์เฟ็กต้า ไวท์บูสเตอร์ เพอร์เฟ็กต้า

-------------------------------------------------------------------------------------
 
4 สเต็ป เลิกนิสัยกินแหลก ตอนกลางคืนให้ขาด

นิสัยกินแหลก กินไม่หยุด กินเกินความต้องการ (Binge eating disorder) เพื่อทดแทนอารมณ์ต่างๆ อย่างเหงา หงุดหงิด เบื่อ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เราอ้วนง่าย ยิ่งถ้าเกิดขึ้นช่วงกลางคืนด้วยแล้วล่ะก็!! อ้วนเพิ่มขึ้นเท่าตัวแน่นอน!! แบบนี้ต้องจัดการให้หายขาด!!!

STEP 1 สังเกตซิ เริ่มกินไม่หยุดตอนไหนนะ?
เริ่มแรกต้องรู้ก่อนว่าเรามีอาการกินไม่หยุดตอนไหน ตอนอยู่บ้านคนเดียวหรือหลังจากทำงาน แต่ต้องคอยสังเกตตัวเองอยู่ตลอดนะ เพราะมันอาจจะเปลี่ยนแปลงได้เมื่อเวลาผ่านไป อาจจะเพราะสุขภาพของเราและปัญหาทางจิตที่ลิงก์อารมณ์บางอย่างเวลาอยู่ในสภาพแวดล้อมบางที่กับการกินอาหารบางชนิด ไม่แปลกใจที่ทำไมคนอกหักบางคนถึงอ้วนขึ้น

STEP 2 แล้วทำไมถึงกินไม่หยุดล่ะ?
การทำความเข้าใจกับตัวเองว่าทำไม่ถึงกินไม่หยุด อาจจะเป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับบางคน แต่รู้ไหม? ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดจากเรื่องอารมณ์ทั้งนั้น อย่างเวลาความต้องการไม่ถูกตอบสนองก็เลยหันไปพึ่งอาหารแทน กินเข้าไปทดแทนความรู้สึกที่พยายามหลีกเลี่ยง เช่น เศร้า เหงา หรือโกรธ อารมณ์นี่แหละสาเหตุหลักเลย

STEP 3 กำจัดสิ่งดึงดูดใจ
ถึงเวลาแก้นิสัยของตัวเองแล้ว หยุดซื้อของอ้วนๆ มาเก็บในตู้เย็นสักที เลิกกินของหวานๆ มันๆ แล้วไปเข้ายิมกันเถอะ หาอะไรทำในช่วงเวลาสุ่มเสี่ยงแทน ค่อยๆ เปลี่ยนตัวเองตามสาเหตุการกินไม่หยุดของคุณ

STEP 4 สร้างกฎให้ตัวเอง
การเปลียนแปลงแบบระยะยาวต้องอาศัยการตั้งกฎที่เคลียร์ อาจจะเป็นการอนุญาตให้ตัวเองกินอาหารตอนกลางคืน แต่ต้องจำกัดปริมาณและต้องเป็นอาหารที่ไม่อ้วนเกินไป หรือจะเป็นสายโหดห้ามตัวเองไม่ให้กินหลังจากข้าวเย็นไปเลย! ไม่ว่าจะวิธีไหนก็ขอให้ตั้งกฎที่เหมาะกับลักษณะนิสัยส่วนตัว ช่วงแรกๆ อาจจะทำได้ยากหน่อย แต่ถ้าผ่านไปได้ 3-4 วันจะเริ่มอยู่ตัวแล้วล่ะ
ขอบคุณ mthai
 
ครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ครีมหน้าเด็ก ครีมหน้าเงา สิว ฝ้า กระ ไวท์บูสเตอร์ของเพอร์เฟ็กต้า ไวท์บูสเตอร์ เพอร์เฟ็กต้า

-------------------------------------------------------------------------------------
วิธีเลือกโฟมล้างหน้าให้เหมาะกับผิว ไขข้อสงสัย ผิวแบบไหนเลือกใช้โฟมล้างหน้ายังไงดี

การล้างหน้าเป็นด่านแรกของการบำรุง หากล้างหน้าไม่สะอาดบำรุงผิวดีแค่ไหนก็ไม่เห็นผล แถมยังเป็นต้นเหตุของการเกิดปัญหาผิวต่าง ๆ ได้อีกด้วย เพราะแต่ละวันผิวหน้าของเราต้องเจอทั้งฝุ่น ควัน อากาศร้อน และมลภาวะ ดังนั้นแค่ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ จึงต้องมีโฟมล้างหน้ามาเป็นตัวช่วยในการทำความสะอาดด้วยอีกแรง ฉะนั้นการเลือกโฟมล้างหน้าจึงถือเป็นสิ่งสำคัญ และต้องเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวของเราด้วยจึงจะเห็นผลดีที่สุด

1. โฟมล้างหน้าสำหรับผิวหมองคล้ำ
หากสาว ๆ คนไหนกำลังประสบกับปัญหาผิวหน้าคล้ำเสียสะสมจากแดด รวมทั้งมีรอยสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ แนะนำให้ใช้โฟมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของ AHA หรือกรดอัลฟาไฮดรอกซี (Alpha Hydroxy Acids) ซึ่งเป็นสารสกัดจากผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว จะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกจากผิว เผยผิวใหม่ที่ดูขาวใสอย่างเป็นธรรมชาติ

2. โฟมล้างหน้าสำหรับผิวแห้ง
สาวผิวแห้งหลายคนคงจะฟินเวลาใช้โฟมล้างหน้าที่มีฟองนุ่ม ๆ แต่รู้หรือไม่ ? ยิ่งฟองเยอะมากเท่าไหร่ยิ่งดึงความชุ่มชื้นออกไปจากผิวมากเท่านั้น ซึ่งเกิดจากสารลดแรงตึงผิว (Surfactant) ที่ช่วยทำให้เกิดฟอง ดังนั้นโฟมที่มีฟองเยอะจึงไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับสาวผิวแห้ง เพราะจะทำให้ผิวหน้าเกิดการระคายเคือง และแห้งจนลอกเป็นขุยได้ แนะนำให้ใช้โฟมล้างหน้าที่มีฟองน้อย เนื้อเหลวคล้ายน้ำนม และมีส่วนผสมที่ให้ความชุ่มชื่นอย่างน้ำมัน หรือกรดไฮยาลูโรนิค ( Hyaluronic acid ) จะดีกว่า

3. โฟมล้างหน้าสำหรับผิวมัน
ปัญหากวนใจสำหรับสาว ๆ ส่วนใหญ่คือ หน้ามัน รูขุมขนกว้างซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว การล้างหน้าจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการขจัดความมันบนใบหน้า แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรล้างหน้าบ่อยเกิน 2 ครั้งต่อวัน เพราะจะทำให้ผิวหน้าเกิดการระคายเคืองได้ โดยสาวผิวมันควรเลือกใช้โฟมล้างหน้าแบบที่มีส่วนผสมของชาร์โคล หรือกรดอัลฟา และเบต้าไฮดรอกซี (AHAs / BHAs) ซึ่งจะช่วยควบคุมความมันบนใบหน้า และทำความสะอาดรูขุมขนได้เป็นอย่างดี

4. โฟมล้างหน้าสำหรับผิวผสม
สาว ๆ มีผิวหน้าทั้งแห้งและมัน หรือที่เรียกว่าผิวผสม ควรใช้โฟมล้างหน้าแบบที่ช่วยปรับสมดุลให้กับผิวหน้า ปราศจากส่วนผสมของน้ำมัน แต่ไม่ทำให้ผิวแห้งตึงจนรู้สึกระคายเคือง นอกจากนี้ยังต้องมีประสิทธิภาพในการกำจัดสิ่งสกปรกบนผิวหน้า และรูขุมขนได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก แอลกอฮอล์ และเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ เพราะจะทำให้ผิวหน้าส่วนที่แห้งยิ่งแห้งหนักกว่าเดิม

5. โฟมล้างหน้าสำหรับผิวบอบบางแพ้ง่าย
ผิวบอบบางแพ้ง่ายควรระมัดระวังในการเลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าเป็นพิเศษ โดยโฟมล้างหน้าแบบมีฟองทั่วไปจะมีประจุไฟฟ้าขั้วตรงข้ามกับผิว ทำให้ดึงดูดเข้าหากัน จึงเกิดสารตกค้างได้ง่ายเมื่อล้างหน้าไม่สะอาด ดังนั้นควรเลือกใช้โฟมล้างหน้าชนิดวิปโฟมเนื้อละเอียดล้างออกง่าย หรือเจลล้างหน้าแบบไม่มีฟองสูตรอ่อนโยนเป็นพิเศษจะดีกว่า นอกจากนี้ยังต้องไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม พาราเบน แอลกอฮอร์ รวมถึงกรดอัลฟา และเบต้าไฮดรอกซี (AHAs / BHAs) ที่เป็นตัวกระตุ้นให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ง่ายด้วย

6. โฟมล้างหน้าสำหรับคนเป็นสิว
สำหรับสาว ๆ ที่มีปัญหาสิว แค่ล้างหน้าเพื่อความสะอาดอย่างเดียวคงยังไม่พอ ต้องกำจัดต้นเหตุของการเกิดสิวด้วยโฟมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) และกรดไลโปไฮดรอกซี (Lipo Hydroxy) ซึ่งจะช่วยต่อสู้ความมันส่วนเกินบนใบหน้า พร้อมทั้งขจัดสิ่งสกปรกเพื่อป้องกันการเกิดสิวอุดตันด้วย
ขอบคุณ kapook
 
ครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ครีมหน้าเด็ก ครีมหน้าเงา สิว ฝ้า กระ ไวท์บูสเตอร์ของเพอร์เฟ็กต้า ไวท์บูสเตอร์ เพอร์เฟ็กต้า

-------------------------------------------------------------------------------------
6 เคล็ดลับที่สายลดน้ำหนักควรรู้ คุมอาหารยังไง ไม่ให้ตบะแตก

สาวๆ หลายคนหันมาออกกำลังกายลดน้ำหนัก และควบคุมอาหารเพื่อให้การลดของคุณได้ผล 100% แถมยังเป็นวิธีที่ถูกต้องเหมาะสม ไม่เป็นผลเสียต่อร่างกายในระยะยาวอีกด้วย แต่ปัญหาคือ จะคุมอาหารยังไงไม่ให้เกิดตบะแตกกลางคัน วันนี้เรามีเคล็ดลับดีๆ มาบอกกันค่ะ

1.ห้ามอดอาหารเด็ดขาด
การอดอาหารจะทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ ทำให้เกิดอาการโหย และยิ่งโหยมากเท่าไหร่ ก็จะมีความอยากอาหารมากขึ้นเท่านั้น ทำให้ตบะแตกได้ง่าย ทางที่ดีคือควรกินอาหารในมื้อหลักตามปกติ แต่ให้ลดอัตราส่วนของไขมัน และแป้งลง เพื่อให้ระบบการเผาผลาญในร่างกายทำงานได้อย่างสมบูรณ์

2.ห้ามซื้อขนมเก็บไว้
การซื้อขนมเก็บไว้ จะทำให้เราเกิดความอยากกินขนมนั้นๆ ยิ่งเห็นก็ยิ่งอยากกิน ซึ่งจริงๆ แล้วในช่วงลดน้ำหนัก ขนมขบเคี้ยว ช็อกโกแลต หรือลูกอม ลูกกวาดต่างๆ เป็นสิ่งที่ไม่ควรกินเป็นอย่างยิ่ง เพราะอาหารเหล่านี้มีปริมาณน้ำตาลมาก ซึ่งจะส่งผลเสียต่อร่างกาย ทำให้การลดน้ำหนักเป็นไปได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ

3.ควรแบ่งอาหารกินเป็นมื้อย่อยเล็กๆ หลายมื้อ
ในช่วงลดน้ำหนักเพื่อให้ร่างกายไม่รู้สึกหิวระหว่างวัน ควรแบ่งอาหารที่จะต้องกินเป็นมื้อย่อยเล็กๆ เช่น เช้า สาย เที่ยง บ่าย เย็น ค่ำ โดยที่ทุกมื้อรวมกัน พลังงานที่ได้นั้นต้องไม่เกิน 1,200 กิโลแคลอรี่ เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างเหมาะสมและเพื่อให้ร่างกายเผาผลาญได้อย่างสมบูรณ์

4.เปลี่ยนของว่างมาเป็นธัญพืชหรือผลไม้
ในช่วงลดน้ำหนักคุณสามารถกินของว่างได้ แต่ควรเลือกอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและช่วยบำรุงกล้ามเนื้อเป็นหลัก เช่น ผลไม้หรืออาหารจากธัญพืชต่างๆ ที่มีปริมาณแคลอรี่ต่ำ หิวเมื่อไหร่ก็หยิบมากิน รับรองได้ว่าไม่ตบะแตกแน่นอน

5.หิวเมื่อไหร่ให้ดื่มน้ำ
น้ำเปล่าเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อร่างกาย ดื่มเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ดังนั้น เมื่อไรก็ตามที่คุณรู้สึกหิว ให้ลองดื่มน้ำเปล่าดูก่อน เพราะประการหนึ่ง เมื่อร่างกายเกิดความหิวอาจจะมีสาเหตุมาจากความกระหายน้ำแทนอาหารก็เป็นได้ ซึ่งหากลองดื่มน้ำแล้วก็อาจจะช่วยบรรเทาความหิวไปได้มากขึ้นเลยทีเดียว

6.พักผ่อนให้เพียงพอ
ระหว่างควบคุมอาหารนั้น การพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ ถือเป็นสิ่งจำเป็น เพราะหากคุณอดหลับอดนอน ระบบเผาผลาญในร่างกายก็จะทำงานได้ไม่เต็มที่ อีกทั้งยังทำให้เกิดความหิวได้ง่ายอีกด้วย
ขอบคุณที่มา sanook

ครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ครีมหน้าเด็ก ครีมหน้าเงา สิว ฝ้า กระ ไวท์บูสเตอร์ของเพอร์เฟ็กต้า ไวท์บูสเตอร์ เพอร์เฟ็กต้า

-------------------------------------------------------------------------------------
5 พฤติกรรมสร้างแพนด้าใต้ตาไม่รู้ตัว
 
ใต้ตาหมีแพนด้า! แค่ได้ยินก็จะกรี๊ดแล้วค่ะ บอกเลยว่าปัญหาใต้ตาดำนี่แหละที่เป็นศัตรูความสวยของคุณสาวๆ มาช้านานแล้ว วันนี้เราเลยมีบทความดีๆ อย่าง 5 พฤติกรรมสร้างแพนด้าใต้ตาไม่รู้ตัว เมื่อเรารู้สาเหตุแล้วจะได้หลีกเลี่ยงได้ถูก ทีนี้ล่ะ ใต้ตาหมีแพนด้าจะได้ไม่มากวนใจ จะมีพฤติกรรมอะไรบ้าง แล้วคุณสาวๆ ทำกันบ้างรึเปล่า ตามมาดูเลย
 
5.นอนดึก การนอนดึก สาเหตุนี้คงเป็นสาเหตุที่เรารู้กันดีที่ส่งผลให้ใต้ตาดำ หมองคล้ำเป็นหมีแพนด้า เนื่องจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ฉะนั้นคุณควรจัดสรรเวลานอนให้เหมาะสม ใต้ตาจะได้ไม่หมองคล้ำ แถมยังดีต่อสุขภาพอีกนะคะ ถึงแม้ช่วงนี้อาจจะมีเรื่องทำให้เครียดจนนอนไม่หลับไปบ้าง แต่คุณก็ต้องนอนให้ได้และนอนให้เพียงพอด้วยค่ะ นอนให้ได้ 8 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำนะคะ

4.ใช้สายตามากเกินไป การใช้สาตามากเกินไปเป็นหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ใต้ตาหมองคล้ำได้ค่ะ นอกจากจะทำให้ใต้ตาหมองคล้ำแล้วยังทำให้สายตาเสียอีกด้วยนะ การที่เราใช้สายตาหนักเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการจ้องโทรศัพท์นานๆ หรืออ่านหนังสือหนักๆ ทำให้กล้ามเนื้อรอบๆ ดวงตาของเราอ่อนล้า และทิ้งรอยความเหนื่อยล้าสะสมเป็นความคล้ำใต้ตาไว้ให้ดูต่างหน้าได้ค่ะ

3.ดื่มน้ำน้อยเกินไป การดื่มน้ำให้เพียงพอเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อร่างกายมาก เพราะน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายมากๆ รวมไปถึงบริเวณรอบๆ ดวงตาด้วย ดังนั้นเมื่อร่างกายไม่ได้รับน้ำอย่างเพียงพอตามปริมาณที่ต้องการ เซลล์ผิวก็จะไม่กระจ่างใส ส่งผลให้รอยดำคล้ำใต้ตาชัดเจนยิ่งขึ้น รู้แบบนี้แล้วต้องรีบดื่มน้ำให้เพียงพอเลย ใต้ตาจะได้ไม่เป็นแพนด้าเนอะ

2.แสงแดดทำร้ายผิวใต้ตา แสงแดดเป็นตัวร้ายในการทำให้ผิวพรรณของเราเสีย หมองคล้ำและเกิดจุดด่างดำได้ เรียกว่าเป็นอันตรายต่อความสวยงามสุดๆ ผิวบริเวณรอบดวงตาที่บอบบางสุดๆ ก็ไม่ต่างกันนะคะ แสงแดดอาจกระตุ้นให้เกิดการผลิตเม็ดสีที่ผิวหนังเพิ่มมากขึ้น จนผิวหน้าบริเวณขอบตาดำคล้ำขึ้นได้ ฉะนั้นหลีกเลี่ยงได้ก็เลี่ยงซะ หรือถ้าจำเป็นต้องออกแดดจริงๆ ก็อย่าลืมกันแดดเด็ดขาด!

1.สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ก็ทำให้ใต้ตาดำ สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ก็ทำให้ใต้ตาดำ หลายๆ คนคงยังไม่รู้ใช่ไหมล่ะ แต่อันนี้เป็นเรื่องจริงนะคะ เพราะการสูบบุหรี่หรื่อดื่มแอลกอฮอล์นอกจากจะทำร้ายสุขภาพกายแล้วยังทำลายความสวยอีกด้วยนะ นั่นก็เพราะบุหรี่ทำให้ขอบตาดำคล้ำยิ่งขึ้น และการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาจทำให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังขยายตัวจนเห็นเป็นรอยคล้ำใต้ดวงตา เป็นสาเหตุให้ใต้ตาหมีแพนด้ากำเนิดโดยไม่รู้ตัวค่ะ
ขอบคุณที่มา sanook
 
ครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ครีมหน้าเด็ก ครีมหน้าเงา สิว ฝ้า กระ ไวท์บูสเตอร์ของเพอร์เฟ็กต้า ไวท์บูสเตอร์ เพอร์เฟ็กต้า

-------------------------------------------------------------------------------------
5 เคล็ดลับนอนให้ผอม ทำตามนี้เพียง 1 เดือน น้ำหนักลด 1 กิโลกรัม

จะลดความอ้วนทั้งทีนอกจากเรื่องการกินและการออกกำลังเนี้ย การพักผ่อนก็สำคัญพอๆ กันเลยนะ ยิ่งการนอนเนี่ย เป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด และเป็นกุญแจสำคัญของการลดน้ำหนักด้วย หากนอนอย่างมีคุณภาพ จะสามารถเผาผลาญพลังงานได้ราว 300 กิโลแคลอรี่ และหากเป็นเช่นนี้ทุกวัน เพียง 1 เดือน ก็จะลดน้ำหนักลงไปได้ 1 กิโลกรัม!

1.นอนให้ผอมต้องหลับก่อนถึงตีสาม
ถ้าคิดจะนอนให้ผอม ต้องนอนระหว่างช่วงเวลา 4 ทุ่ม – ตี 3 เพราะช่วงนี้เป็นช่วงเวลาทองของโกรธฮอร์โมนซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยฟื้นฟูร่างกาย โกรธฮอร์โมนจะหลั่งออกมาได้ง่ายที่สุดช่วงนี้ ยิ่งหลับเร็วยิ่งมีเวลาให้โกร๊ธฮอร์โมนซ่อมร่างได้มาก

2.หลับให้สนิทตั้งแต่ 3 ชั่วโมงแรก
การนอนหลับมีช่วงใหญ่ๆ แบ่งอย่างง่ายๆ คือ ช่วงนอนหลับธรรมดา และช่วงนอนหลับฝัน ช่วงนอนหลับธรรมดาถือเป็นช่วงเวลาสำคัญเพราะจะมีช่วงที่ร่างกายหลับลึกมากที่สุดได้สองช่วง และโกรธฮอร์โมนจะหลั่งออกมาในช่วงที่เริ่มหลับ 3 ชั่วโมงแรก หลังจากนั้นจะแทบไม่หลั่งอีกเลย

เพราะฉะนั้น 3 ชั่วโมงแรกของการนอน จึงสำคัญที่สุด ที่สำคัญคือควรอยู่ในช่วงไม่เกินตีสามด้วยนะ ถึงจะส่งผลทำให้น้ำหนักลดลงมาได้

3.หลับต่อเนื่องให้ได้ 7 ชั่วโมง
ผลการวิจัยจากสหรัฐอเมริการะบุว่า คนที่นอนนาน 5 ชั่วโมง มีโอกาสอ้วนขึ้นร้อยละ 52 ส่วนคนที่นอนแค่ 4 ชั่วโมง มีโอกาสอ้วนขึ้นถึงร้อยละ 73 !!! หรือพูดอีกอย่างก็คือยิ่งนอนน้อยจะยิ่งอยากอาหารมากขึ้นนั่นเอง

เพราะเมื่อเปรียบเทียบดัชนีมวลกายของคนที่นอนนาน 7 ชั่วโมง กับค่าดัชนีมวลกายของคนที่นอน 4 – 5ชั่วโมง พบว่า ฮอร์โมนกระตุ้นความอยากอาหารของคนที่นอนนาน 7 ชั่วโมง หลั่งออกมาน้อยกว่าคนที่นอนน้อย

4.ก่อนนอน 3 ชั่วโมง ต้องกินข้าวให้เสร็จ
ในช่วงเย็นที่ร่างกายไม่ต้องใช้พลังงานมากนัก ก็ควรเลี่ยงอาหารที่ให้พลังงานสูง เพราะจะใช้เวลาย่อยนาน และเนื่องจากระบบย่อยจะใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงในการย่อยอาหาร การกินอาหารเย็นให้จบก่อนเข้านอน 3 ชั่วโมง จึงส่งผลดี เพราะจะทำให้นอนหลับอย่างสบาย ร่างกายไม่ทำงานหนัก

หากระยะเวลาระหว่างมื้อเย็นกับเวลาเข้านอนสั้นเกินไป ร่างกายก็ยังย่อยอาหารอยู่ยังย่อยไม่เสร็จ และจะทำให้เราหลับไม่สนิท ร่างกายไม่ได้พักผ่อนเพราะอยู่ในกระบวนการย่อยอาหาร ก็ทำให้ไขมันยิ่งสะสมและอ้วนง่าย

5.นอนมากเบิร์นมาก
การนอนเยอะๆ ทำให้คุณมีแรงตื่นมาเวิร์กเอ้าท์ตอนเช้าซึ่งจะทำเมตาโบลิซึมของคุณทำงานได้ดีมากๆ คือจะเบิร์นได้เยอะขึ้นตลอดวันเลย แต่ถ้าสาวๆ ว่างออกกำลังแค่ตอนเย็นละก็ เราแนะนำให้ทำอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมงก่อนนอนจะได้ไม่มีผลกระทบต่อไซเคิลการนอนนะจ๊ะ
ขอบคุณที่มา mthai 
 
ครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ครีมหน้าเด็ก ครีมหน้าเงา สิว ฝ้า กระ ไวท์บูสเตอร์ของเพอร์เฟ็กต้า ไวท์บูสเตอร์ เพอร์เฟ็กต้า
 
-------------------------------------------------------------------------------------
DIY สครับขัดผิว 9 สูตรผิวสวยด้วยธรรมชาติ ทำใช้เองได้ง่ายนิดเดียว

สงสัยไหมว่า ? ทำไมทาครีมเท่าไหร่ผิวก็ยังดูหมองคล้ำไม่มีออร่า คำตอบคือ ผิวของเราเจอทั้งแดด ฝุ่น และมลภาวะต่าง ๆ ทุกวัน ทำให้ผิวคล้ำเสียสะสม ดังนั้นการอาบน้ำฟอกสบู่ หรือแค่ทาครีมคงยังไม่พอ ต้องใช้สครับขัดผิวร่วมด้วย เพราะจะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว รวมถึงกำจัดสิ่งสกปรกที่อยู่บนผิวออก เพียงเท่านี้ก็มีผิวขาวเนียนใสขึ้นแล้ว และจะดีแค่ไหนถ้าเราสามารถทำสครับขัดผิวใช้เองได้จากของที่มีอยู่ในตู้เย็น

1. สครับมะขามเปียกสุดฮิต
มาเริ่มกันด้วยสูตรยอดนิยมเลยดีกว่า นำมะขามเปียก 1 ก้อน ผสมกับเกลือ 2-3 ช้อนโต๊ะ จากนั้นนำมาสครับผิวโดยขัดวนเป็นวงกลม วิธีนี้จะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออก สครับอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง เพียงเท่านี้ก็จะมีผิวขาวใสออร่าจับแล้ว

2. กากกาแฟขัดผิว
กาแฟทำให้ไม่ง่วงนอนแล้วยังทำให้ผิวสวยได้อีกด้วย ! วิธีการทำก็ง่ายนิดเดียวเพียงแค่นำกากกาแฟที่ใช้แล้ว 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำมันมะพร้าวอุ่น 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน ก็จะได้สครับกาแฟที่นอกจากจะช่วยผลัดเซลล์ผิวแล้ว ยังมีคาเฟอีนที่ช่วยกระตุ้นให้ผิวกระชับขึ้นด้วย

3. บราวน์ชูการ์สครับ
ใช่แล้ว ! นี่คือสครับที่ทำจากน้ำตาลทรายแดง ผสมน้ำตาลทรายแดง ½ ถ้วย กับน้ำมันมะพร้าว ½ ถ้วยตวง หรือใครจะใช้ออยล์ทาผิวที่มีอยู่ก็ได้ไม่ว่ากัน เพราะสูตรนี้เน้นเซฟงบ เผื่อสาว ๆ จะได้เอาไปขัดผิวกันช่วงใกล้สิ้นเดือน ประหยัดเงินแถมยังช่วยกำจัดสิ่งสกปรกและความมันส่วนเกินบนผิวได้อีกด้วย

4. เกลือทะเลขจัดสิว
นำเกลือบดละเอียดผสมกับน้ำมันทาผิวอย่างละครึ่งถ้วย โดยเกลือมีคุณสมบัติช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว เพราะในแต่ละวันผิวเราสัมผัสกับสิ่งสกปรกมากมาย ทั้งที่มองเห็น และไม่เห็น แค่ฟอกสบู่อย่างเดียวคงไม่พอ สครับสูตรนี้จึงตอบโจทย์ในเรื่องการทำความสะอาดผิวได้ดีที่สุด

5. สูตรสครับน้ำผึ้ง
ส่วนผสมมีน้ำตาลครึ่งถ้วย น้ำมันมะพร้าวละลาย ¼ ถ้วย และน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ บอกเลยว่าสูตรนี้ได้ประโยชน์จากน้ำผึ้งไปเต็ม ๆ เพราะนอกจากจะช่วยต้านอนุมูลอิสระและเชื้อโรคแล้ว ยังช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีที่เป็นสาเหตุทำให้ผิวแก่ก่อนวัยได้อีกด้วย สารพัดประโยชน์สุด ๆ

6. สครับกล้วยหอม
ใครจะรู้ว่ากล้วยที่มีอยู่ในครัวจะเอามาทำสครับขัดผิวได้ เริ่มจากปั่นกล้วยหอมกับน้ำมันมะพร้าว ¼ ถ้วย จากนั้นนำน้ำตาลเทผสมลงไป แล้วคนให้เข้ากัน สครับสูตรนี้จะช่วยให้ผิวดูชุ่มชื้นขึ้น เหมาะสำหรับสาวที่มีผิวแห้งโดยเฉพาะ

7. สครับพายฟักทอง
แค่ชื่อก็น่ากินแล้ว แต่กินไม่ได้นะ ! มาดูส่วนผสมกันดีกว่า มีน้ำตาลทรายแดง 2 ถ้วย เครื่องเทศพายฟักทอง 2 ช้อนโต๊ะ และน้ำตาลทรายกับน้ำมันพืชอย่างละ 1 ถ้วย สูตรนี้เอาไว้ขัดแก้หนาว เพราะตอนขัดผิวจะรู้สึกอุ่น ๆ จากเครื่องเทศ นอกจากนั้นยังทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นด้วย และด้วยกลิ่นที่หอมหวานขนาดนี้ บอกเลยขัดไปหิวไปแน่นอน

8. แตงกวาขัดผิว
นำแตงกวา 1 ลูก ปั่นรวมกับใบโหระพา 2-3 ใบ เพื่อเพิ่มกลิ่นหอม จากนั้นผสมน้ำตาลทรายขาว 1 ถ้วย กับน้ำมันมะพร้าว ¼ ถ้วย คนให้ส่วนผสมเข้ากัน แตงกวาจะช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น ดูสุขภาพดีน่าสัมผัส

9. สครับมะนาว
นอกจากจะมีดีที่ความเปรี้ยวแล้ว มะนาวยังมีวิตามินซีสูงที่ช่วยบำรุงและผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวของสาว ๆ เนียนนุ่มเหมือนผิวเด็ก วิธีทำสครับขัดตัว เริ่มจากบีบมะนาว 1 ลูกลงในภาชนะ ผสมกับน้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ และน้ำผึ้งอีก 1 ช้อนโต๊ะ นำมาขัดเบา ๆ ลงบนผิวแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นเท่านี้ก็เป็นอันจบ
ขอบคุณkapook
 
ครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ครีมหน้าเด็ก ครีมหน้าเงา สิว ฝ้า กระ ไวท์บูสเตอร์ของเพอร์เฟ็กต้า ไวท์บูสเตอร์ เพอร์เฟ็กต้า

------------------------------------------------------------------------------------
7 อาหารอยู่ท้องที่ต้องมีติดตู้เย็นยามหิวดึกๆ ต้องทำยังไง

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ทุกคน วันนี้เจ๊จะมารีวิวของกินยามดึก ใครที่ดึกๆ มาแล้วชอบหิวข้าวบ้างเอ่ย? ซึ่งปัญหานี้เป็นปัญหาระดับชาติมากจริงๆ ค่ะ พอหิวแล้วก็ต้องได้วุ่นวายออกไปร้านสะดวกซื้อตอนดึกๆ ดื่นๆ ซึ่งมันโคตรจะขี้เกียจและเสียเวลามากๆ ถ้างั้นเรามาเตรียมไว้ติดตู้เย็นเอาไว้เลยดีกว่าเนอะ ของกินเล่นในตู้เย็นที่ต้องมี ที่พลาดไม่ได้เลยนั้นมีอะไรกันบ้าง ไปดูกันเลยจ้า

1. โยเกิร์ต
ตัวแรกแนะนำเป็นโยเกิร์ตเลยค่ะ โยเกิร์ตมีหลายรสชาติเลยนะคะ แต่สำหรับใครที่ไม่อยากอ้วนหรือควบคุมน้ำหนักอยู่ แนะนำให้เลือกเป็นโยเกิร์ต 0% เลยค่ะ สำหรับการทานโยเกิร์ตเวลาหิวๆ อาจจะไม่ได้อิ่มเท่ากับทานข้าว แต่ก็ช่วยไม่ให้ท้องร้องได้นะ เรียกว่าอยู่ท้องในระดับหนึ่งเลยล่ะ ซึ่งเป็นข้อดีนะคะ มื้อดึกเราไม่ควรทานอาหารหนักๆ เพราะทานแล้วนอน อาหารไม่ย่อย เดี๋ยวมีปัญหาตามมาน๊าาา

2. ไข่ต้ม
ข้อต่อมาแนะนำเป็นไข่ต้มเลยจ้าาา ตัวนี้สำหรับเจ๊คือ Recommend มากๆ สำหรับใครที่เวลาหิวอยากอยากทานอาหารมากกว่าขนม แนะนำทานไข่ต้มจ่ะ เหยาะซอสใส่หน่อย ดึกๆ เวลาหิวนี่คือฟินขั้นสุดนะจ๊ะ ไข่ต้มสำหรับการทานในมื้อดึกคือทานฟองเดียวก็นอนหลับสบายแล้วค่ะ ทานฟองเดียวก็คืออิ่มเลย ท้องไม่ร้องกวนใจเวลานอนเลยจ้าา แนะนำๆ

3. ขนมปัง
ข้อต่อมาสิ่งที่ตู้เย็นขาดไม่ได้เลยคือขนมปังค่ะ ตอนดึกเวลาหิวๆ นี่คือช่วยได้เยอะจริงๆ ทาน 1-2 แผ่นก็อยู่ท้องแล้ว สำหรับใครที่ไม่ Mind เรื่องแคลอรี่อาจจะเพิ่มนมข้นหวานหรือเนยทาบนหน้าขนมปัง เพื่อเพิ่มรสชาติให้น่าทานขึ้นก็ได้ แต่สำหรับใครต้องการควบคุมน้ำหนักแนะนำทานเพียวๆ เลยค่ะ หรือถ้าเฮลตี้มากๆ จริงๆ ทานเป็นขนมปังโฮลวีตไปเลยก็ได้จ้าาา

4. ธัญพืช
ข้อต่อมาแนะนำเป็นธัญพืชเลยค่าา ของทานเล่นอีกอย่างที่ต้องมีติดตู้เย็นไว้ ไม่ว่าจะเป็น ถั่วแดง ถั่วเขียว อัลมอนด์ คือถือว่าเป็นธัญพืชหมด การทานอะไรพวกนี้ไม่ใช่เพียงแค่อยู่ท้องนะคะ แต่ธัญพืชเหล่านี้ยังอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ต่างๆ อีกด้วย แต่ธัญพืชบางชนิดอาจมีแคลอรี่สูงไปนิดนึงนะสำหรับคนที่ต้องการไดเอท เราก็เลือกสรรธัญพืชที่ให้พลังงานต่ำๆ ไว้ก็แล้วกัน สำหรับเพื่อนๆ ที่กำลังไดเอท

5. นมสด
ข้อต่อมาแนะนำเป็นนมสดเลยค่าาา เมนูยอดฮิตที่ต้องมีติดบ้านก็คือนมสดเนี่ยแหละ เพราะว่านมสดเป็นเครื่องดื่มที่ทานแล้วอยู่ท้องมากๆ หรือใครที่ปวดท้องหิวข้าวตอนดึก ทานนมสดเข้าไปก็จะไปช่วยเคลือบกระเพาะ ไม่ให้ปวดท้อง ทรมานอีกด้วย แถมนมสดยังอุดมไปด้วยโปรตีน มีประโยชน์ต่อร่างกายมากๆ และที่สำคัญคือหาซื้อง่ายมากๆ เช่นกันจ้าา

6. ผลไม้
ของทานเล่นตัวต่อมาที่ขาดไม่ได้เลยคือผลไม้นั่นเองจ้าา ทุกบ้านควรมีผลไม้ติดตู้เย็นจริงๆ นะคะ เพราะทานหลังทานข้าวก็จะช่วยลดการเลี่ยนอาหารหรือทานก่อนทานข้าวก็จะช่วยเพิ่มความอยากอาหารมากขึ้น หรือแม้แต่ตอนดึกๆ เวลาหิวเนี่ย การมีผลไม้ติดไว้ในตู้เย็นคือสวรรค์มากๆ เลยนะ แถมสำหรับใครที่ต้องการควบคุมน้ำหนักด้วยแล้ว ยิ่งแนะนำให้ทานผลไม้เลยค่ะ เพราะทานยังไงก็ไม่อ้วน

7. ซีเรียล
สุดท้ายแนะนำเป็นซีเรียลเลยจ้าา สำหรับของทานเล่นที่ต้องมีติดตู้เย็น สำหรับซีเรียลเพื่อนๆ จะนำมาทานเล่นแบบเพียวๆ เคี้ยวเพลินๆ ก็ได้ หรือจะนำมาทานคู่กับนมสดหรือโรยหน้าโยเกิร์ตก็คือเริ่ดไปหมดค่าา ที่สำคัญตัวนี้เค้าหาซื้อไม่ยากเลย ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไปก็มี แต่ซีเรียลบางตัวอาจมีแคลอรี่สูงหน่อยนะ ยังไงเพื่อนๆ ก็เลือกทานกันหน่อย
ขอบคุณsanook

ครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ครีมหน้าเด็ก ครีมหน้าเงา สิว ฝ้า กระ ไวท์บูสเตอร์ของเพอร์เฟ็กต้า ไวท์บูสเตอร์ เพอร์เฟ็กต้า
 
-------------------------------------------------------------------------------------
6 อาหารธรรมชาติ กินลดอาการบวมน้ำได้ผล ไม่เชื่อ ต้องลอง

อาการบวมน้ำสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง แต่ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นและพบได้บ่อยในผู้หญิง ซึ่งสาเหตุมาจากการกินอาหารที่มีโซเดียมมากหรือดื่มน้ำมากจนเกินไป ถ้าหากปล่อยไว้ อาการบวมน้ำอาจส่งผลให้เป็นโรคอ้วนได้ง่ายขึ้น วันนี้เราจึงมาแนะนำวิธีดูแลตนเองให้หายจากอาการบวมน้ำด้วยอาหารใกล้ตัวมาฝาก ว่าแต่จะมีอะไรบ้าง ไปติดตามกันเลยค่ะ

1.ถั่วแดง

เนื่องจากในถั่วแดงอุดมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหารมากมาย โดยมีปริมาณโพแทสเซียมสูง และยังอุดมไปด้วยธาตุเหล็กที่จะช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคโลหิตจาง ช่วยปรับระบบการไหลเวียนเลือด ปรับสมดุลน้ำภายใน อีกทั้งยังมีเส้นใยอาหารที่สามารถช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอล และยังช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ง่ายขึ้นด้วย

2.มันเทศหวาน

มันเทศเทศมีสารอาหารประเภทแคโรทีนที่สามารถต้านอนุมูลอิสระ โดยจะช่วยปกป้องไม่ให้เกิดโรคตาบอดในตอนกลางคืน และยังช่วยลดอาการบวมน้ำให้กลับมาเป็นปกติได้อีกด้วย

3.มะเขือเทศ

ในมะเขือเทศอุดมไปด้วยสารไลโคปีนที่มีสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยบำรุงหัวใจ ซึ่งสามารถช่วยลดอาการบวมน้ำได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังสามารถขับน้ำและไขมันต่าง ๆ ออกไปจากร่างกายได้อย่างรวดเร็วด้วย


4.ฝรั่ง

เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง โดยสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี เพื่อสุขภาพที่ดีเราควรกินฝรั่งอย่างน้อยวันละ 1 ลูก ก็จะช่วยลดระดับโซเดียมและป้องกันอาการบวมน้ำได้

5.แตงโม

เป็นผลไม้ที่มีน้ำในปริมาณร้อยละ 90 โดยผลไม้ฉ่ำน้ำเหล่านี้นอกจากจะสร้างความสดชื่นให้แก่ร่างกายได้แล้ว ยังช่วยปรับสมดุลของน้ำภายในร่างกายให้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยลดอาการบวมน้ำได้ด้วยนั่นเอง

6.หน่อไม้ฝรั่ง

มีผลทางการวิจัยพบว่าสาเหตุของการเกิดอาการบวมน้ำ ส่วนใหญ่เกิดมาจากเซลล์ในร่างกายได้กักเก็บน้ำส่วนเกินเอาไว้ โดยที่ไตยังไม่ได้รับสัญญาณที่จะปล่อยน้ำ ซึ่งหน่อไม้ฝรั่งสามารถทำหน้าที่เป็นยาขับปัสสาวะตามธรรมชาติเพื่อช่วยให้ร่างกายได้ขับของเสียออกมาและเป็นการลดอาการบวมน้ำให้ดีขึ้นอีกด้วย

ผักผลไม้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์และใกล้ตัวเรามากที่สุด ที่สามารถกินลดอาการบวมได้โดยไม่ต้องพึ่งยาวิเศษใด ๆ ทั้งนี้เราควรลดการกินอาหารที่มีส่วนผสมของโซเดียมหรือลดการกินเค็มให้น้อยที่สุด เพราะอาหารที่มีรสชาติเค็มจะทำให้ร่างกายเกิดอาการบวมน้ำขึ้นนั่นเอง ซึ่งถ้าหากสาวๆ สามารถลดต้นตอดังกล่าวนี้ได้ อาการบวมน้ำก็จะลดลง แถมโรคที่เกิดจากการกินโซเดียมสูงอย่างความดันก็จะไม่มาเยือนอีกด้วย
ที่มา sanook
 
ครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ครีมหน้าเด็ก ครีมหน้าเงา สิว ฝ้า กระ ไวท์บูสเตอร์ของเพอร์เฟ็กต้า ไวท์บูสเตอร์ เพอร์เฟ็กต้า
 
-------------------------------------------------------------------------------------
สิวหายช้า เช็กสิ! เพราะคุณกินอาหาร 8 ชนิดนี้หรือเปล่า
 
สิว! ใครๆ ก็เคยเป็น แต่ปัญหาอยู่ตรงที่เมื่อเป็นแล้วไม่ยอมหายสักทีนี่สิ แม้จะซื้อครีมรักษาสิวราคาแพงมาใช้ก็ไม่มีทีท่าว่าสิวจะยุบลง ดังนั้นเรามาเช็กกันดีกว่าว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ ซึ่งอาจจะเกิดจากการที่คุณกินอาหาร 8 ชนิดนี้ก็ได้

1.ของหวาน
การกินของหวานจะทำให้เกิดสิวได้ง่าย และส่งผลให้สิวหายช้าอีกด้วย เพราะของหวานจะไปกระตุ้นให้สิวเกิดการอักเสบากขึ้น ดังนั้นถ้าอยากให้สิวหายเร็ว ก็ต้องลดการกินของหวานให้น้อยลงแล้วล่ะ

2.อาหารที่ผลิตจากนมวัว
จริงอยู่ว่าอาหารที่ว่านั้นมีประโยชน์ แต่สำหรับคนที่กำลังเป็นสิวอยู่นั้น น้ำนมจะมีฮอร์โมนชนิดหนึ่งไปกระตุ้นสิว จนทำให้สิวไม่หายสักทีนั่นเอง เพราะฉะนั้นในช่วงที่เป็นสิวจึงควรเลี่ยงการดื่มนมวัวและอาหารทุกชนิดที่มีส่วนผสมของนมวัวด้วย

3.ชา กาแฟ
ในขณะที่เรากำลังประสบปัญหาสิวบุกนั้น การดื่มชากาแฟ จะส่งผลให้ร่างกายขาดน้ำ เนื่องจากกระตุ้นให้มีการปัสสาวะบ่อยๆ โดยเมื่อร่างกายขาดน้ำก็จะทำให้สิวหายช้าได้ จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สิวไม่หายสักทีนั่นเอง

4.อาหารประเภทโปรตีน
อาหารประเภทโปรตีนทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว เนื้อไก่ เนื้อเป็ด เนื้อหมู ก็ล้วนส่งผลให้สิวหายช้าได้ทั้งสิ้น ดังนั้นจึงควรลดปริมาณให้น้อยลง และเลี่ยงพวกเนื้อสัตว์ติดมันหรือหนังไก่จะดีที่สุด

5.แอลกอฮอล์
แอลกอฮอล์จะส่งผลให้ร่างกายของเราอยู่ในภาวะไม่สมดุล เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะส่งผลให้ภูมิคุ้มกันร่างกายของเราบกพร่องได้ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสิวและส่งผลให้สิวหายช้าอีกด้วย

6.อาหารเส้นแปรรูป
พวกอาหารเส้นแปรรูปทั้งหลาย อย่างเช่น พาสต้า สปาเกตตี้ ขนมจีน มาม่า ก็เป็นอาหารอีกหนึ่งประเภทที่คนที่กำลังรักษาสิวควรหลีกเลี่ยง เพราะจะกระตุ้นให้สิวหายยากได้เช่นกัน

7.ไขมันทรานส์
ไขมันชนิดนี้ไม่ว่าคุณจะเป็นสิวหรือไม่เป็นก็ตาม ไม่ควรนำเข้าร่างกายในปริมาณเยอะเพราะอันตราย โดยไขมันประเภทนี้มักจะอยู่ในอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ด ของทอด ขนมถุง และเบเกอรี่ เป็นต้น

8.อาหารรสจัด
อาหารรสจัดก็เป็นอีกหนึ่งตัวการที่ทำให้รักษาสิวไม่หายง่ายเช่นกัน ดังนั้นใครที่ชอบกินอาหารรสจัดก็ต้องลดความจัดจ้านของอาหารให้น้อยลง หรือถ้าเลี่ยงไปเลยก็จะดีมาก โดยรอให้สิวหายก่อนแล้วค่อยกลับมากินรสจัดอีกนั่นเอง

และนี่ก็คืออาหาร 8 ชนิดที่เป็นตัวการทำให้สิวหายยาก ดังนั้นลองเช็คดูสิว่าคุณชอบกินอาหารเหล่านี้เป็นประจำหรือเปล่า ถ้าใช่ก็ควรเลี่ยงโดยด่วน เพื่อจะได้รักษาสิวให้หายเร็วขึ้นนั่นเอง
ขอบคุณที่มา sanook

ครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ครีมหน้าเด็ก ครีมหน้าเงา สิว ฝ้า กระ ไวท์บูสเตอร์ของเพอร์เฟ็กต้า ไวท์บูสเตอร์ เพอร์เฟ็กต้า

-------------------------------------------------------------------------------------
10 ผลไม้ลดความอ้วน แคลฯ น้อย กินได้เพลินๆ พุงไม่มาเยือนแน่นอน

1 ในข้อปฏิบัติของการลดน้ำหนักก็คือ ต้องลดการทานหวานๆ ลง หากใครติดการทานของจุ๊กจิ๊กให้เปลี่ยนเป็นทานผลไม้ที่ให้ความหวานน้อยแทน วันนี้เราจะพาไปดู 10 ผลไม้ลดความอ้วน ที่คุณสาวๆ สามารถทานได้เพลินๆ ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องแคลอรี่เลยค่ะ

1. แอปเปิ้ล
พูดได้เลยว่าเป็นผลไม้ที่โด่งดังในวงการลดความอ้วนมาก โดยแอปเปิ้ล 100 กรัม ให้พลังงาน 52 แคลอรี่ ด้วยความที่แอปเปิ้ลมีความหวานที่ได้จากธรรมชาติ แถมยังเต็มไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ที่มีประโยชน์ กินแล้วทำให้ไม่รู้สึกหิวบ่อย เหมาะมากๆ สำหรับสาวๆ ที่ติดทานของจุกจิก

2. แตงโม
ผลไม้ฉ่ำน้ำ ต้องยกให้แตงโมไปเลยค่ะ เหมาะมากที่จะทานในหน้าร้อน ทั้งนี้ยังช่วยในเรื่องของการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ทานแล้วผิวพรรณก็ยังดูชุ่มชื่นอีกด้วย แตงโม 100 กรัม ให้พลังงาน 25 แคลอรี่เท่านั้นเอง

3. แก้วมังกร
แก้วมังกรเพียง 100 กรัม ให้พลังงาน 60 แคลอรี่ ถือว่าไม่เยอะเลย เหมาะสำหรับสาวๆ ที่กำลังอยากจะลดหุ่นเป็นอย่างมาก นอกจากนี้แก้วมังกรยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยให้ผิวพรรณดูชุ่มชื่น คืนความอ่อนวัยแบบที่ไม่ต้องพึ่งครีมบำรุงเยอะเลยล่ะ

4. มะละกอ
ถ้าพูดถึงผลไม้ที่ช่วยในการขับถ่ายได้เป็นอย่างดี คงไม่มีใครไม่คิดถึงมะละกอ แต่นั่นไม่ใช่ประโยชน์เดียวที่มะละกอมี ในมะละกอมีเอนไซม์ที่ช่วยในการย่อยอาหาร และสารสารฟลาโวนอยด์ แคโรทีน วิตามินซี สารต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยบำรุงไม่ให้ผิวเสื่อมก่อนวัย แถมยังสามารถสู้กับไขมันส่วนเกินในร่างกายได้อีกด้วย มะละกอ 100 กรัม ให้พลังงาน 13 แคลอรี่เท่านั้นเอง

5. ฝรั่ง
ฝรั่งเพียง 100 กรัม ให้พลังงาน 60 แคลอรี่ และอย่างที่เราทราบดีว่า ในฝรั่งอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นระโยชน์เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น คาร์โบไฮเดรต ไฟเบอร์ ที่ทำให้เราอิ่มท้องได้นาน นอกจากนี้ยังมีวิตามินซี สารต้านอนุมูลอิสระ โพแทสเซียม ที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน รับรองว่าว่าทานเจ้าฝรั่งเข้าไป ไม่มีผิวหวัง แถมผิวสดใสขึ้นด้วยนะเธอ

6. สตรอว์เบอร์รี่
สตอเบอร์รี่ 100 กรัม ให้พลังงาน 33 แคลอรี่ นอกจากแคลจะน้อย สาวๆ สามารถทานได้แบบหายห่วงแล้ว รสชาติยังอร่อย ถูกปาก ขึ้นเป็นผลไม้โปรดในใจของใครหลายๆ คน ทั้งนี้สตอเบอร์รี่ยังมีฮอร์โมนอะดิโปเนกติน (Adiponectin) และฮอร์โมนเลปติน (Leptin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยเร่งระบบการเผาผลาญ จัดการไขมันสะสมในร่างกาย เริ่ดเวอร์!

7. ส้ม
เมื่อพูดถึงส้ม สาวๆ จะขึ้นถึงวิตามินซี ความฉ่ำน้ำที่กินเข้าไปแล้วยังไงผิวก็สวย อิ่มน้ำแบบธรรมชาติแน่ๆ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่หลายคนยังไม่รู้ก็คือ ส้มเป็นผลไม้ที่แคลฯ น้อยมาก 100 กรัม ให้พลังงาน 42 แคลอรี่เอง เพราะฉะนั้นห้ามพลาดนะจ๊ะ

8. อะโวคาโด
เรามักจะเห็นอะโวคาโดเป็น 1 ในส่วนประกอบของอาหารคลีน หรืออาหารลดน้ำหนักต่างๆ นั่นก็เพราะว่าอะโวคาโดเป็ดกรดไขมันที่ดี ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวในอะโวคาโด จะช่วยเพื่อเผาผลาญไขมันอิ่มตัวในร่างกาย มีคุณสมบัติช่วยลดไขมันร้ายในหลอดเลือด เรียกได้ว่าประโยชน์เพียบ อะโวคาโด 100 กรัม ให้พลังงาน 160 แคลอรี่

9. บลูเบอร์รี่
บลูเบอร์รี่เต็มไปด้วยสารอาหารและมีน้ำตาลน้อยกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ มันถูกยกย่องให้เป็นผลไม้เผาผลาญไขมันที่ดี นอกจากนี้ยังมีคุณค่าทางอาหารสูงและมีแคลอรีต่ำแถมยังหวานแบบมีประโยชน์ เส้นใยในผลเบอร์รี่ช่วยให้อิ่มเร็ว อิ่มนาน และยังมีวิตามินแร่ธาตุ สารต่อต้านอนุมูลอิสระ บลูเบอร์รี่เพียง 100 กรัม ให้พลังงาน 57 แคลอรี่

10. กล้วยหอม
เคยได้ยินที่เขาว่ากันว่ากินกล้วยแล้วจะอิ่มไปอีกนานมั้ย นั่นก็เพราะว่ามันอุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย แก้อาการท้องผูก มีฟรุกโตสกับกลูโคส ซึ่งเป็นสารแทนความหวานจากธรรมชาติ ส่วนสาวๆ ที่ออกกำลังกาย การกินกล้วยหอม สามารถช่วยบำรุงกล้ามเนื้อไม่ให้อ่อนล้าได้อีกด้วย โดยกล้วยหอม 100 กรัม ให้พลังงาน 120 กิโลแคลอรี่
ขอบคุณCr. mthai

ครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ครีมหน้าเด็ก ครีมหน้าเงา สิว ฝ้า กระ ไวท์บูสเตอร์ของเพอร์เฟ็กต้า ไวท์บูสเตอร์ เพอร์เฟ็กต้า
 
-------------------------------------------------------------------------------------
วิธีรักษาฝ้าให้หายขาด จะต้องทำอย่างไร หน้าถึงจะกลับมาเนียนใสได้อีกครั้ง วันนี้กระปุกดอทคอมมีวิธีมาบอกสาว ๆ กันค่ะ

หากพูดถึงฝ้าบนใบหน้า คงไม่มีสาว ๆ คนไหนอยากจะให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวเองเป็นแน่ เพราะนอกจากจะทำให้หน้าไม่สวย มีรอยด่างดำ และเสียความมั่นใจแล้ว ยังจะทำให้แต่งหน้าได้ยากอีกด้วย แต่ทั้งนี้ก็ถือเป็นปัญหาที่หลีกเลี่ยงได้ยาก เพราะสภาพอากาศในบ้านเราค่อนข้างที่จะมีแดดแรงมากอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นสำหรับสาว ๆ คนไหนที่ต้องออกแดดบ่อย ๆ จนมีปัญหาเรื่องฝ้าขึ้นหน้าตามมาแล้ว ทางที่ดีควรรีบหาวิธีจัดการกับฝ้าให้เร็วที่สุดจะดีกว่าค่ะ แต่ก็อย่างที่คนเคยเป็นรู้กันดี ว่าฝ้านั้นค่อนข้างที่จะรักษาได้ยากและต้องใช้เวลา แต่ทั้งนี้ก็ใช่ว่าจะรักษาให้หายขาดไม่ได้เลย ซึ่งวันนี้กระปุกดอทคอมก็มีวิธีมาบอกกันด้วยค่ะ

1. หลีกเลี่ยงแสงแดด และต้องทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน
ถ้าอยากจะหายขาดจากฝ้า สาว ๆ จะต้องดูแลตัวเอง โดยการหลีกเลี่ยงแสงแดด โดยเฉพาะในช่วงเวลา 10.00-15.00 น. แต่ทั้งนี้หากจำเป็นที่จะต้องออกแดด สิ่งสำคัญที่จะต้องทำทุกครั้งก่อนออกจากบ้านก็คือการทาครีมกันแดด ด้วยครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง ๆ ซึ่งในวันธรรมดาสำหรับในบ้านเรา SPF ประมาณ 20-30 ก็ถือว่าเพียงพอแล้วค่ะ

2. รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ
ในแต่ละสัปดาห์สาว ๆ ควรจะบำรุงรักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง โดยวิธีธรรมชาติที่ว่านี้ก็คือ การขัดหน้าด้วยมะขามเปียกนั่นเองค่ะ โดยวิธีการก็ง่าย ๆ เพียงแค่นำมะขามเปียกมาละลายน้ำ พอให้ข้น ๆ จากนั้นนำมาขัดหน้า โดยค่อย ๆ ขัดอย่างเบามือ เสร็จแล้วพอกหน้าทิ้งไว้อีกประมาณ 2-3 นาที แล้วล้างหน้าให้สะอาด สูตรนี้ทำบ่อย ๆ จะช่วยผลัดเซลล์ผิว และสามารถทำให้รอยฝ้าจางลงและหน้าขาวเนียนใสขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ

3. ใช้ครีมทาฝ้าที่มีประสิทธิภาพ
การเลือกใช้ครีมทาฝ้าที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้ฝ้าหายเร็วขึ้นได้ โดยครีมทาฝ้าที่ดีนั้นจะต้องสามารถช่วยทำให้ฝ้าเก่าจางลง และจะต้องป้องกันการเกิดฝ้าใหม่ได้ด้วย ซึ่งหากใครที่กำลังตามหาครีมทาฝ้าดี ๆ มาใช้กันอยู่ แต่ยังไม่รู้ว่าจะต้องใช้แบบไหนดี สามารถตามไปดูกันที่รีวิวนี้ได้เลยค่ะ (ครีมทาฝ้ายี่ห้อไหนดี นี่เลย 6 ครีมทาฝ้าที่ช่วยให้หน้าเนียนใสอีกครั้ง !)

4. ทำเลเซอร์รักษาฝ้า
การทำเลเซอร์ คือการรักษาผิวหน้าอีกทางที่จะช่วยรักษากระ ฝ้า และจุดด่างดำต่าง ๆ ให้หายขาดได้ ถือเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่คนปัจจุบันนิยมทำกัน เพราะนอกจากจะรวดเร็วใช้เวลาไม่นานแล้ว ยังจะรักษาฝ้าได้ผลดีอีกด้วย แต่ทั้งนี้การรักษาก็ค่อนข้างที่จะมีราคาแพง และหลังทำก็จะต้องดูแลผิวเป็นพิเศษอีกด้วย

5. ฉีดยารักษาฝ้า
การฉีดยารักษาฝ้า ถือเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยรักษาฝ้าให้หายขาดได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการรักษาแบบนี้จะเป็นการฉีดตัวยาเข้าไปยังชั้นใต้ผิวหนังบริเวณที่เป็นฝ้าโดยตรง และตัวยาจะเข้าไปฟื้นฟูผิวจากภายในและยับยั้งการทำงานของเม็ดสีผิวที่ผิดปกติ ทำให้ฝ้าจางลงและหายขาดได้ นับเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลดีเลยทีเดียวค่ะ
ขอบคุณ Cr. kapook
 
-------------------------------------------------------------------------------------
7 ผลไม้แคลต่ำ ที่สาวๆ ลดความอ้วนกินตอนเย็นได้แบบ ชิวๆ
สาวๆ ที่กำลังลดน้ำหนักเวลาที่จะ ทานอะไรก็คงต้องมีความกังวล แน่ๆ ว่าทานไปแล้วจะทำให้น้ำหนัก ตัวเองเพิ่มขึ้นหรือเปล่า…แ ต่ที่แน่ๆ ผลไม้นี่ล่ะค่ะที่ทำให้สาวๆ  ที่กำลังไดเอทได้อิ่มสบายท้ อง แถมน้ำหนักยังไม่เพิ่มขึ้นแ น่นอน เพราะผลไม้ 7 ชนิดที่เรานำมาฝากสาวๆ เป็นผลไม้ที่แคลอรี่ต่ำมากๆ  ทานยังไงก็ไม่อ้วน…แถมยังดี ต่อสุขภาพแบบสุดๆ เลยล่ะค่ะ
 
6 แตงโม (58 แคลอรี่)
แตงโมสีแดง รสชาติหวานๆ แต่ไม่ได้ทำให้สาวๆ อ้วนขึ้นเลยนะคะ เพราะแตงโมนั้นอุดมไปด้วยวิ ตามินสูง แคลอรี่ต่ำ แถมยังให้ไขมันเพียงน้อยนิด  ทำให้ร่างกายสดชื่นเมื่อรับ ประทาน อิ่มเร็วมากขึ้น และหากสาวๆ เลือกที่จะรับประทานแตงโมแท นอาหารมื้อเย็นหนัก ๆ ก็จะช่วยลดความอ้วนได้ดีมาก ๆ จะเอามาปั่นก็อร่อย รสชาติดี และได้ประโยชน์ไม่แพ้กันเลย ค่ะ
 
5 ฝรั่ง : (45 แคลอรี่)
ฝรั่งมีวิตามินซีสูงมากๆ เป็นตัวช่วยในการสร้างคอลลา เจน ที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าเต่ งตึงอ่อนกว่าวัย และวิตามินซีก็เป็นสารต้านอ นุมูลอิสระ มีไฟเบอร์สูง ที่สำคัญยังช่วยให้เราหุ่นด ี ผอมเพรียวได้โดยที่ไม่ต้องอ ดอาหารเลยล่ะค่ะ เพียงแค่เปลี่ยนจากการทานอา หารมื้อหนักๆ มาทานฝรั่งเท่านั้นเอง ช่วยให้เราอิ่มท้องนานเมื่อ ทานในมื้อเย็น ทั้งอร่อยแถมยังช่วยให้ผอม และสุขภาพดีอีกด้วย
 
4 ชมพู่ : (28 แคลอรี่)
ชมพู่เป็นผลไม้ที่ให้แคลอรี ่น้อยมากๆ อีกทั้งชมพู่ยังมีไฟเบอร์สู ง ด้วยเส้นใยอาหารทั้งชนิดที่ ละลายน้ำและไม่ละลายน้ำในชม พู่ ลดและควบคุมคอเลสเตอรอลในร่ างกาย ลดความเสี่ยงโรคไขมันอุดตัน ในเส้นเลือด ป้องกันโรคหัวใจ มะเร็งลำไส้ใหญ่ มีวิตามินเอบำรุงรักษาเซลล์ ประสาทตา อีกทั้งยังช่วยต่อต้านอนุมู ลอิสระ ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และมีไลโคปีน (Lycopiene) อีกด้วย ทานง่าย สบาย อยู่ท้อง แถมยังจัดเป็นผลไม้ที่รับปร ะทานแล้วไม่อ้วนแน่นอนค่ะ
 
3 ส้ม : (60 แคลอรี่)
ส้มเป็นผลไม้ที่หารับประทานได้ง่าย แถมยังอร่อยและมีวิตามินซีส ูง อีกทั้งยังมีไธอามีน และโฟเลทที่ช่วยให้ระบบการเ ผาผลาญทำงานได้ดี นอกจากนี้ยังมีไฟเบอร์ที่ดี ต่อระบบขับถ่ายอีกด้วย ส้มมีกากใยที่จะช่วยให้สาวๆ  รู้สึกอิ่มท้องเร็ว และช่วยระบายท้องได้ดี จึงเหมาะที่จะเป็นผลไม้ลดน้ ำหนักในมื้อเย็น เพราะมีแคลน้อยมาก ทานยังไงก็ไม่อ้วนค่ะ
 
2 บลูเบอร์รี่ : (57 แคลอรี่)
บลูเบอร์รี่เต็มไปด้วยสารอา หาร และมีน้ำตาลน้อยกว่าผลไม้ชน ิดอื่นๆ เป็นผลไม้เผาผลาญไขมันที่ดี มาก นอกจากนี้ยังมีคุณค่าทางอาห ารสูง และมีแคลอรีต่ำ อีกทั้งประโยชน์จากเส้นใยใน ผลเบอร์รี่ช่วยให้อิ่มเร็ว อิ่มนาน และยังมีวิตามินแร่ธาตุ สารต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธ ิภาพการทำงานของเซลล์ให้ดีย ิ่งขึ้นด้วย ซึ่งนอกจากที่รับประทานผลไม ้ที่มีไฟเบอร์สูงจะทำให้เรา รู้สึกอิ่มนานไวขึ้นแล้ว ยังช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงาน ได้ดีขึ้นด้วย สาวๆ ที่ต้องการลดความอ้วนทานแล้ วต้องติดใจแน่ค่ะ
 
1 แคนตาลูป : (60 แคลอรี่)
แคนตาลูปเป็นผลไม้ที่ไม่ได้ มีรสชาติหวานมากนัก เพราะเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลต ่ำ นอกจากนี้แคนตาลูปยังเป็นผล ไม้ที่มีคาร์โบไฮเดรตอยู่ใน ตัวเองเล็กน้อย พร้อมกับมีโพแทสเซียมค่อนข้ างสูง สาวๆ ที่กำลังลดน้ำหนักและอยากมี รูปร่างดีไปพร้อม ๆ กัน และด้วยความที่แคนตาลูปมีน้ ำและกากใยค่อนข้างมาก จึงทำให้เรารู้สึกอิ่มท้องไ ด้เร็วและนานขึ้น เป็นมื้อเย็นที่น่าทานสุดๆ เลยล่ะค่ะ
ขอบคุณCr.sanook
 
ครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ครีมหน้าเด็ก ครีมหน้าเงา สิว ฝ้า กระ ไวท์บูสเตอร์ของเพอร์เฟ็กต้า ไวท์บูสเตอร์ เพอร์เฟ็กต้า
 
-------------------------------------------------------------------------------------
7 อาหารที่จะช่วยให้ หน้าท้อง ของสาวๆ แบนราบในวันพิเศษที่จะมาถึง
สวัสดีเพื่อนๆ ทุกคน กลับมาพบกันอีกครั้งกับเรื่องราวสาระดีๆ เกี่ยวกับความสวยความงาม เพราะบทความนี้เรากำลังจะเเนะนำให้เพื่อนๆ ได้รู้จักอาหารที่เหมาะสำหรับสาวๆ ที่อยากมี "หน้าท้องเเบนราบ" เพราะเราทุกคนก็คงทราบดีอยู่เเล้วว่าหน้าท้องที่เเบนราบทำให้สาวๆหุ่นดี ดูเฟิร์มมั่นใจได้มากขนาดไหน เราจึงได้รวบรวมอาหารดีๆ ไว้ให้ เเละเพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเราไปชมกันเลยดีกว่า
 
1. เนื้อปลาเเซลมอน
เนื้อปลาเเซลมอนคือเเหล่งโปรตีนชั้นดี ย่อยง่าย อุดมไปด้วยกรดไขมันดีอย่างโอก้า 3 ที่มีส่วนช่วยในการขจัดไขมันเลวออกจากร่างกาย ทำให้คุณปลอดภัยจากโรคหัวใจเเละหลอดเลือด นอกจากนี้เนื้อปลาเเซลมอนยังมีเเคลอรี่ต่ำ สามารถทานได้มากๆโดยที่ไม่ทำให้อ้วน เเต่เนื้อเเซลมอนที่ควรนำมารับประทานนั้นจะต้องเป็นเนื้อปลาเเซลมอนจากทะเลเท่านั้นถึงจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ ไม่ใช่เเซลมอนเลี้ยงที่อาจปนเปื้อนด้วยยาปฏิชีวนะ เเละฮอร์โมนเร่งโต

2. ผักใบเขียว
คุณสมบัติของผักใบเขียวที่ช่วยส่งเสริมการมีหน้าท้องเเบนราบคือมันเป็นเเหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์คุณภาพสูง เช่น ผักโขม บล็อคโคลี่ เเละหน่อไม้ฝรั่ง ซึ่งไฟเบอร์เหล่านี้จะมีคุณสมบัติพิเศษคือใช้เวลาในการย่อยนานกว่ากว่าจะมีการดูดซึมสารอาหารหมด มันจึงทำหน้าที่เหมือนตัวควบคุมระดับน้ำตาลไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่กระเเสเลือดเร็วเกินไป ช่วยลดปริมาณการหลั่งของฮอร์โมนอินซูลินเข้าสู่กระเเสเลือด ซึ่งจะส่งผลในการช่วยลดการสะสมตัวของไขมันที่หน้าท้อง

3. เม็ดพริกไทยดำ
สาวๆ ทราบหรือไม่ว่าเม็ดพริกไทยดำมีคุณสมบัติช่วยในการลดหน้าท้องได้เป็นอย่างดี ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะในเม็ดพริกไทยดำมีสารที่มีชื่อว่า พิเพอร์รีน (Piperine) ที่สามารถต่อต้านการสะสมตัวของไขมันที่หน้าท้องได้นั่นเอง นอกจากนี้พริกไทยดำยังมีสรรพคุณทางยาที่ช่วยเพิ่มอัตราการเมทาบอลิซึมของร่างกายอีกด้วย

4. โยเกิร์ต
หากสาวๆ ต้องการโยเกิร์ตที่ส่งผลดีต่อการลดหน้าท้องของคุณเป็นพิเศษ เราอยากเเนะนำให้คุณเลือกทานโยเกิร์ตโปรไบโอติก สูตรปราศจากน้ำตาลรสธรรมชาติครับ เพราะโยเกิร์ตสูตรนี้จะมีเเบคทีเรียที่สนับสนุนการทำงานของลำไส้ เเละกำจัดจุลินทรีย์ส่วนเกินที่เป็นตัวช่วยให้เกิดการสะสมตัวของไขมันที่หน้าท้อง

5. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี้เป็นผลไม้รสเปรี้ยวหวานทานเเล้วรู้สึกสดชื่น ชื่นใจเเต่มีเเคลอรี่ต่ำ มีไฟเบอร์สูงทานเเล้วทำให้รู้สึกอยู่ท้องได้นาน นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีส่วนช่วยในการลำเลียงออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น ทำให้สาวๆออกกำลังการได้มากกว่าเดิม ซึ่งจะเป็นตัวช่วยในการลดหน้าท้องได้ดีเลยทีเดียว

6. ชาเขียว
ในใบชาเขียวนั้นมีสาร AGCG ที่มีคุณสมบัติช่วยในการสลายไขมันได้โดยตรง ซึ่งจากการวิจัยพบว่าหากคุณดื่มชาเขียวเป็นประจำวันละ 3 เเก้ว ชาเขียวจะช่วยเพิ่มอัตราการเมทาบอลิซึมในร่างกายที่ช่วยให้คุณเบิร์นพลังงานส่วนเกินออกไปได้มากถึงวันละ 30 เเคลอรี่ในเเต่ละวัน

7. อะโวคาโด
ในผลอะโวคาโดมีไขมันที่มีประโยชน์ที่เป็นกุญเเจสำคัญในการลดหน้าท้อง เพราะน้ำมันอะโวคาโดมีคุณสมบัติช่วยในการสลายไขมันส่วนเกินของร่างกายเเละกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานส่วนเกิน ซึ่งจากการวิจัยพบว่าผู้ที่ควบคุมอาหารเพื่อลดหน้าท้องที่ทานอะโวคาโดร่วมด้วยจะสามารถลดหน้าท้องได้ดีกว่าคนที่ไม่ได้ทาน
ขอบคุณCr.sanook


10 มกราคม 2567

ผู้ชม 335 ครั้ง

Engine by shopup.com